ตรงจุดนี้พวกเราต้องดูเป็นตัวอย่างเอาไว้ เนื่องเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บำเพ็ญบารมีมาเพื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต้องเกิดจนนับชาติไม่ถ้วน พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องทนทุกข์ทรมานมานับกัปไม่ถ้วน ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น เป็นแค่ช่วงท้ายเท่านั้น
ถ้าเป็นบาลีเขาบอกเอาไว้ชัดว่า จิตติตัง สัตตะ สังเขยยัง คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้านี่หมดไปแล้ว ๗ อสงไขย นวะ สังเขยยะ วาจะกัง พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า อีก ๙ อสงไขย แล้วถึงตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป แค่กัปเดียวก็เกิดกันนับชาติไม่ถ้วนแล้ว
แล้วลองนึกดูว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นปัญญาธิกะ คือผู้เลิศด้วยปัญญา ถือว่าเกิดน้อยที่สุดแล้ว ยังเกิดนานขนาดนั้น ก็คือ ๗ บวก ๙ เป็น ๑๖ บวกอีก ๔ เป็น ๒๐ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแบบสัทธาธิกะก็ ๔๐ อสงไขยกัปบวกหนึ่งแสนมหากัป ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะก็ ๘๐ อสงไขยบวกอีกหนึ่งแสนมหากัป แล้วพระองค์ท่านไม่เคยท้อเลยแม้แต่น้อย..!
อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าของเราไม่ได้เกิดเป็นกษัตริย์ตลอดเวลา ไม่ได้เกิดเป็นเศรษฐีตลอดเวลา แต่เป็นคนจน เป็นคนรวย เป็นสัตว์บ้าง เสวยสุขเป็นเทวดา เป็นพรหม สลับหมุนเวียนกันไป ลงไปสู่ขุมนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง พูดง่าย ๆ ว่าเป็นจนครบทุกอย่าง
ถ้าหากว่าเราศึกษากฎเกณฑ์กติกาในพุทธวงศ์ จะเห็นชัดเจนว่าบุคคลที่ปรารถนาความเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในระหว่างที่บำเพ็ญบารมีอยู่เรียกว่าพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นั้นจำกัดเอาไว้ว่า ต้องมีอัตภาพใหญ่ไม่เกินช้าง เล็กไม่เกินนกกระจาบ แปลว่า มด แมลงวัน ยุงต่าง ๆ เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้ ขณะเดียวกันไดโนเสาร์ก็เป็นไม่ได้..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-02-2022 เมื่อ 07:33
|