๘. เรื่องที่เราควรขวนขวายมีเรื่องเดียว คือ เรื่องความดับทุกข์อย่างแท้จริงนั้นเป็นอย่างไร สมัยพุทธกาลศึกษาปริยัติกันไม่กี่นาทีหรือไม่กี่วัน พระพุทธเจ้าทรงแนะหัวข้อธรรมให้ไปปฏิบัติก็เข้าป่าหรือนำไปปฏิบัติให้เกิดมรรคผล บางท่านก็สามารถบรรลุธรรมในทันทีในที่นั่งนั้นเอง หรือเฉพาะพระพักตร์นั่นเอง
๙. การบวชมี ๓ อย่าง (ในปัจจุบัน)
ก) บวชแต่กาย ใจไม่ได้บวชด้วย
ข) บวชแต่ใจ กายไม่ได้บวชด้วย
ค) บวชทั้งกายและทั้งใจ
ในพุทธกาล เขาบวชเพื่อความหลุดพ้นอย่างเดียว
๑๐. อนัตตากับสุญญตา เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง ยากที่บุคคลทั่วไปจะพึงเข้าใจได้ถูกและตรง
๑๑. อมิตาภะ แปลว่า สิ่งที่มีแสงสว่างอันคำนวณไม่ได้หรือบางทีเรียกอมิตายุ แปลว่า สิ่งที่มีอายุคำนวณไม่ได้
๑๒. แต่พวกนิกายเซ็น แปลอมิตาภะว่า เป็นจิตเดิมแท้อย่างที่เว่ยหล่างเรียก และฮวงโปเรียกว่าความว่าง นิกายเซ็นถือว่าสิ่งที่มีแสงสว่างไม่มีประมาณ หรือสิ่งที่มีอายุคำนวณไม่ได้นั้นไม่มี มีแต่ความว่าง
๑๓. ความจริงพุทธศาสนาสอนให้คนเห็นทุกข์ เพราะตราบใดที่คนยังไม่เห็นทุกข์ ก็พ้นทุกข์หรือดับทุกข์ไม่ได้ และสอนให้หาต้นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ แล้วดับที่ต้นเหตุนั้น ๆ เสีย สรุปว่าให้คนอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ได้ โดยที่ใจไม่ทุกข์ตามโลก
๑๔. สันติภาพมีในโลกของสัตว์เดียรัจฉานทั่วไป มากกว่าในหมู่มนุษย์
๑๕. ความเบียดเบียนที่น่ากลัวที่สุด คือ ความเบียดเบียนตนเอง อารมณ์จิตของเรานั่นแหละ เบียดเบียนตนเองมากที่สุด ร้ายกาจที่สุด (หากคิดดีบุญก็เกิด หากคิดไม่ดีบาปก็เกิด) (อหิงสาเท่ากับความไม่เบียดเบียน)
๑๖. ความกลัวของพุทธบริษัทที่แท้จริง คือ กลัวทุกข์หรือกลัวข้าศึกภายใน (อารมณ์จิตตนเองทำร้ายตนเอง-เบียดเบียนตนเอง อันเป็นภัยใหญ่ยิ่งกว่าภัยใด ๆ ทั้งหมด) โดยเฉพาะก่อนจะตาย หากจิตเบียดเบียนตนเองก็ไปสู่ทุคติ เพราะมีจิตเศร้าหมองหรือมีกิเลส
|