มีบาลีกล่าวรับรองเอาไว้ว่า ยโส ลทฺธา น มชฺเชยฺย บุคคลได้ยศแล้วไม่พึงเมา ถ้าเป็นภาษาโบราณ เขาใช้คำว่า "ยศช้าง ขุนนางพระ" ก็คือเวลาช้างออกศึก โดนใช้ในการรบ เมื่อได้รับชัยชนะกลับมา พระมหากษัตริย์ก็มักจะตั้งยศให้ เป็นคุณพระบ้าง เป็นพระยาบ้าง เหมือนอย่างกับช้างเผือกคู่บารมีในหลวงที่ ๙ ก็คือ คุณพระเศวตอดุลยเดชพาหน เป็นต้น
คราวนี้ต่อให้เป็นเป็นคุณหลวง คุณพระ หรือเป็นเจ้าคุณ คือเป็นพระยาก็ตาม ช้างก็ยังคงกินหญ้า กินกล้วยเหมือนเดิม ดังนั้น...คำว่า "ยศช้าง" ก็คือให้ไปก็เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงตามยศไปด้วย
ส่วน "ขุนนางพระ" ก็คือพระภิกษุที่มีเกียรติคุณเป็นที่เคารพนับถือของญาติโยมจำนวนมาก องค์พระมหากษัตริย์ถวายภาระธุระในการดูแลอบรมสั่งสอนประชาชน โดยถวายสมณศักดิ์ให้ด้วย ในเมื่อมีสมณศักดิ์ก็จะมี "นิตยภัต" ซึ่งแปลว่าค่าอาหารที่ให้เป็นปกติ แต่คนเรามักจะเรียกง่าย ๆ ว่า "เงินเดือนพระ"
ในเมื่อรับเงินเดือนก็เหมือนกับเป็นข้าราชการ เขาก็เลยใช้คำง่าย ๆ ว่า "ขุนนางพระ" ก็แปลว่าต่อให้มียศใหญ่ขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือเราเป็นพระ ต้องปฏิบัติตามระเบียบวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดไว้ อันดับแรกก็คือ รักษาตนเอง ไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น อันดับที่สองก็คือ ยังความเลื่อมใสให้แก่บุคคลที่ยังไม่เลื่อมใสพระพุทธศาสนา
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลที่ได้ยศจึงไม่พึงเมา ต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเรามีความเป็นพระภิกษุที่ต้องปฏิบัติ เพื่อรักษาอริยประเพณีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดไว้ให้
เรื่องของยศ เรื่องของตำแหน่งเป็นแค่สัญญาบัตร ถ้าเรียกกันแบบภาษาชาวบ้านก็แค่ "กระดาษแผ่นเดียว" เรื่องของพัศยศประกอบตำแหน่ง เพื่อแสดงให้รู้ว่าท่านมียศชั้นไหน ก็คือ "ตาลปัตรอันเดียว" แถมดูแลรักษายากอีกต่างหาก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-04-2022 เมื่อ 02:17
|