กระผม/อาตมภาพได้บอกให้ทราบว่า ทางวัดท่าขนุนนั้น มอบหมายหน้าที่การจัดกิจนิมนต์แก่พระภัตตุเทศก์อย่างเป็นทางการ ดังนั้น...จึงต้องหมุนเวียนกันไปตามลำดับ จนกว่าที่จะตรงกับตนเองถึงจะได้ไป
กระผม/อาตมภาพในฐานะเจ้าอาวาส ก็ไม่ได้สิทธิพิเศษแม้แต่ประการใด เมื่อถึงเวลา ถ้าหากว่าไม่ถึงคิวก็ไม่ได้ไปเช่นกัน ดังนั้น...ไม่ใช่ว่าบ้านไหนจนแล้วไม่ไป บ้านไหนรวยแล้วไป หากแต่ว่าไปตามที่พระเจ้าหน้าที่จัดการมอบหมายให้ต่างหาก
เมื่อเรามีความยุติธรรมเช่นนี้ ทางด้านญาติโยมก็ตำหนิไม่ได้ ขณะเดียวกันทางด้านพระภิกษุสามเณรก็ตำหนิไม่ได้ว่า "ให้แต่คนนี้ไป คนนั้นไม่ได้ไป" ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความยุติธรรมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งเจ้าอาวาสทั้งหลายจะต้องตระหนัก
แล้วท่านยังบอกว่า "การเป็นเจ้าอาวาสนั้น ต้องเป็นหลัก ต้องเป็นแรง ต้องเป็นแบบ แก่พระภิกษุสามเณร"
คำว่า เป็นหลัก ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน ในเรื่องของการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต ถ้าหากว่าเราไม่ได้ทำด้วยตนเอง พระภิกษุสามเณรก็ไม่มีอารมณ์ที่จะทำ
มีญาติโยมหลายท่านที่เคยมาใส่บาตร แล้วถามกระผม/อาตมภาพว่า "หลวงพ่อ..เป็นใหญ่เป็นโตขนาดนี้แล้ว ยังต้องบิณฑบาตเองอีกหรือ ? วัดโน้นแค่เป็นเจ้าอาวาส ก็ให้เณรบิณฑบาตให้ฉันแล้ว" ถ้าหากว่าคิดแบบนี้ก็เป็นอันว่าจบกัน..!
เนื่องเพราะว่าญาติโยมทั้งหลายเห็นอยู่ว่า เจ้าอาวาสของตนเองเป็นอย่างไร ในเมื่อไม่ได้เป็นหลักให้แก่พระภิกษุสามเณร เอาแต่ตัวเองรอด เอาแต่ตัวเองสบาย แล้ววัดวาอารามจะอยู่ได้อย่างไร ?
คำว่า เป็นแรง ท่านบอกว่าเป็นทั้งแรงกาย เป็นทั้งแรงใจ คำว่า เป็นแรงกายก็คือ ถ้าหากว่ามีเหตุ มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับพระภิกษุสามเณรของเรา ก็ต้องเข้าไปป้องกันต้านทานให้ ในเรื่องของแรงใจก็คือ ต้องคอยกระตุ้น คอยให้กำลังใจอยู่เสมอ เพื่อให้พระภิกษุสามเณรของเรามีแก่ใจที่บวชปฏิบัติอยู่ในพระพุทธศาสนาสืบไป
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-05-2022 เมื่อ 03:12
|