ดูแบบคำตอบเดียว
  #5  
เก่า 11-06-2022, 01:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,647
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,679 ครั้ง ใน 34,237 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพียงแต่ว่าคำตอบในระดับสุดท้าย ในเรื่องของมรรคของผล จะเป็นคำตอบที่ทำอย่างไรเราก็ต้องมีครูบาอาจารย์บอกกล่าว ไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็จะได้คำตอบแค่ในเรื่องของสมาธิที่สงสัยและติดขัดเท่านั้น เพราะว่าตรงจุดนั้น ถ้าหากว่าเรามีความเพียรพยายามในการปฏิบัติจริง ๆ เมื่อทำไปถึงคำตอบก็จะปรากฏขึ้นเอง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเห็นว่าสมาธิคือข้อกลางของไตรสิกขา ก็คือ ศีลสร้างสมาธิให้เกิด สมาธิสร้างปัญญาให้เกิด ปัญญาเกิดแล้ว ไปคุมศีลกับสมาธิอีกทีหนึ่ง พิจารณา ระมัดระวังจนศีลบริสุทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนสมาธิมีความหนักแน่น มีความคล่องตัว มีความเชี่ยวชาญมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป

แล้วท้ายที่สุด สมาธินั้นก็จะก่อให้เกิดปัญญาที่แหลมคม ว่องไว รู้เท่าทันกิเลสทุกอย่าง เห็นชัดเจนถึงขนาดว่า ถ้าเราคิดแบบนี้ กิเลสจะเกิดขึ้น ถ้าเราคิดแบบนี้ กิเลสจะไม่เกิดขึ้น แล้วเราก็เลือกคิดเฉพาะในส่วนที่ทำให้ ศีล สมาธิ ปัญญา เจริญขึ้น หยุดการนึกคิดปรุงแต่ง ในด้านที่ทำให้กิเลสเจริญขึ้น

ถ้าหากว่ามาถึงตรงระดับนี้ แล้วท่านสามารถทรงได้ตลอดเวลา คำว่านิโรธ หรือนิโรธะ ความดับสนิทจะปรากฏขึ้นแก่เรา กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างมีอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ เหมือนกับมีฟืนมีไฟมหาศาลกองอยู่ตามเดิม เพียงแต่เราไม่แส่ไปจุดไปขึ้นมาเผาเราเท่านั้น

หลายท่านที่ลำบาก ที่เดือดร้อนอยู่ โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรของเรา ก็คือในเรื่องของราคะ ไม่ต้องหนักใจครับ ถ้าท่านสามารถแยกออกได้ ว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสมบัติของร่างกาย ปกติที่จะต้องมี แต่เราไม่ไปยุ่งด้วยเท่านั้น ก็คือแค่เลิกคิด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2022 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา