ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 23-01-2009, 19:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๑

ทั้งหมดกำหนดความรู้สึกนึกถึงลมหายใจเข้าออก ระบายลมหายใจยาว ๆ สักสองสามครั้ง เพื่อให้ลมหยาบหมดไป เวลาภาวนาถ้าจิตเริ่มละเอียดจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด หลังจากนั้นให้กำหนดความรู้สึกของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าความรู้สึกทั้งหมดไหลเข้าตามลมหายใจเข้าไป....ผ่านจมูก....ผ่านกลางอก....ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้อง....ผ่านกลางอกมาสิ้นสุดที่ปลายจมูก พร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด จะเป็นพุทโธ เป็นนะมะพะธะ เป็นสัมมาอะระหัง เป็นพองหนอยุบหนอ หรือเป็นบทคาถาใด ๆ ที่เราชอบใจก็ได้ เพียงแต่ว่าให้รู้ตามลมหายใจเข้าออก อย่างจริง ๆ จัง ๆ เท่านั้น ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอย่างนี้สักครู่หนึ่ง เพื่อให้จิตใจเราทรงตัวตั้งมั่น

วันนี้เราจะมาทบทวนของเก่ากันทั้งหมด เพราะว่าหลายท่านเริ่มเลือน ๆ ไป หลายท่านจะรู้สึกว่าปฏิบัติแล้วรู้สึกตัน ๆ ไป จริง ๆ แล้วแค่สิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนเท่านั้น แต่เรารักษากำลังใจไม่ได้เอง ให้กำหนดภาวนาไปสักครู่หนึ่งให้กำลังใจทรงตัว

จากนั้นให้นึกภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ซึ่งมีลักษณะที่เรารักเราชอบมากที่สุด ให้อยู่เหนือศีรษะของเรา เป็นพระพุทธรูปแก้วใส ๆ สว่าง ๆ อยู่บนศีรษะของเรา เมื่อเราหายใจเข้า ภาพพระก็เลื่อนจากศีรษะลงมาที่อกลงไปสุดที่ท้อง เมื่อเราหายใจออกภาพพระก็เลื่อนจากท้องผ่านกลางอกขึ้นไปอยู่บนศีรษะ ไม่ต้องไปสนใจว่ามันหายใจอย่างไร แต่ให้กำหนดรู้ลมหายใจตามองค์พระเข้าไป ถึงแม้จะรู้สึกว่าหายใจผ่านทางศีรษะลงไปที่ท้องก็ให้มันเป็นอย่างนั้น หายใจออกจากท้องผ่านหน้าอกขึ้นไปบนศีรษะก็ให้มันเป็นของมันอย่างนั้น

กำหนดภาพพระใส ๆ ไหลเข้าไหลออกตามลมหายใจ พร้อมกับคำภาวนา หายใจเข้าองค์พระใหญ่ขึ้น ๆ จนครอบร่างเราได้ หายใจออก องค์พระก็เล็กลง ๆ จนเหลือขนาดตามปกติ แต่อยู่บนศีรษะ หรือจะหายใจเข้าให้องค์พระเล็กลง ๆ จนอยู่ในท้อง หายใจออกให้องค์พระใหญ่ขึ้น ๆ ไปสว่างอยู่บนศีรษะก็ได้ ให้กำหนดกำลังใจอยู่กับภาพพระแบบนี้สักครู่หนึ่ง

จากนั้นกำหนดภาพพระให้เลื่อนเข้ามาอยู่ตรงศีรษะของเรา เป็นภาพพระขนาดองค์กำลังพอดี ๆ สว่างไสวอยู่ในศีรษะของเรา แล้วเลื่อนภาพพระลงไปในอก ให้ไปสว่างไสวอยู่ในอก ความสว่างของพระแผ่กว้างออก จนกระทั่งตัวเราก็สว่างไสวไปทั้งหมด หายใจเข้าภาพพระก็สว่างขึ้น หายใจออกภาพพระก็สว่างขึ้น กำหนดความรู้สึกให้แน่วแน่ อยู่กับลมหายใจเข้าออกที่วิ่งผ่านองค์พระลงไป หายใจเข้าภาพพระก็สว่าง หายใจออกภาพพระก็สว่าง

แล้วให้กำหนดว่าความสว่างนั้นคือกระแสแห่งพระเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แผ่ปกคลุมออกไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิทุกหมู่ ทุกเหล่า โดยผ่านจากร่างกายและจิตใจของเรา ดังนั้นให้ทุกคนกำหนดความสว่างขององค์พระนั้นให้แผ่กว้างออกไปจากตัวเรา กว้างออกไปทั้งห้องนี้ กว้างออกไปทั่วบริเวณนี้ กว้างออกไปทั้งตำบล ทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัด

กำหนดใจคิดแผ่เมตตาออกไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ตั้งใจว่ามนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ได้ตกล่วงไปแล้วในวันหนึ่ง ๆ ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงไปเสวยสุขในสุคติภพถ้วนหน้ากันเทอญ แผ่ความรู้สึกที่เป็นรัศมีสีขาวสว่างจากองค์พระให้กว้างออก ๆ เหมือนโยนก้อนหินลงในน้ำแล้วกระเพื่อมเป็นวงกว้างออกไป กว้างออกไป ทั่วทั้งจังหวัด ทั่วทั้งประเทศ ทั่วทั้งทวีป ทั่วทั้งโลก โลกทั้งโลกเหมือนเป็นอะไรเล็ก ๆ อยู่ภายใต้ร่างกายของเรา

กายเราที่มีองค์ภาพพระใส ๆ สว่าง ๆ นี้ ใหญ่โตเต็มไปทั้งแผ่นดินแผ่นฟ้า กำหนดความรู้สึกไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกถ้วนหน้าว่า มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น อยู่ในความทุกข์ยาก เศร้าหมองเดือดร้อนลำเค็ญ ทุกข์กายทุกข์ใจ เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการใด ๆ ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงได้ล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้นเทอญ

ให้กระแสพระเมตตา แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่เยือกเย็นสว่างไสวแบบนี้แผ่กว้างออกไป จากโลกนี้ไปสู่ดวงดาวอื่น ๆ ที่ประกอบไปด้วยมนุษย์และสัตว์ ไปทั่วทั้งสุริยะจักรวาล ออกไปยังจักรวาลอื่น ๆ ทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล ตั้งใจว่ามนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด

ให้กระแสพระเมตตาของพระพุทธเจ้าท่าน แผ่กว้างออกไป กว้างออกไป เบื้องบนสูงสุดถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ เบื้องล่างต่ำสุดถึงอเวจีมหานรก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า ตลอดจนกระทั่งโลกธาตุทั้งหลาย ในเบื้องขวางที่หาประมาณไม่ได้นี้ ล้วนแล้วแต่ได้รับกระแสพระเมตตา จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแผ่ออกจากกายเรา สว่างไสวอย่างหาประมาณมิได้ ให้ตั้งใจว่ามนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้วจึงเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่แก่กันและกัน เสียสละให้กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกับผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งกว่าตนให้เขาพ้นทุกข์ เพื่อยังโลกนี้ไปสู่สันติสุขอย่างสมบูรณ์ด้วยเทอญ

กำหนดความรู้สึกอันกว้างขวางอย่างหาประมาณมิได้นี้ ไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลายทุกถ้วนหน้า คนทั้งหลายที่เรารัก คนทั้งหลายที่เราไม่รักไม่เกลียด คนทั้งหลายที่เรารู้สึกเกลียดน้อย คนทั้งหลายที่เรารู้สึกเกลียดมาก ให้เห็นว่าเขาทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นผู้ร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่รักสุขเกลียดทุกข์ ปรารถนาความสุข ต้องการก้าวล่วงจากความทุกข์โดยถ้วนหน้ากัน

ดังนั้นเราจึงไม่เป็นศัตรูกับใคร ยินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ ทั่วทั้งโลก หลังจากนั้นให้กำหนดความรู้สึกกลับเข้ามาสู่ร่างกายเราทีละน้อย ๆ ถ้านึกถึงภาพพระว่าพระองค์ท่านใหญ่โตมโหฬาร เต็มไปทั้งแผ่นดินแผ่นฟ้า ก็ให้เล็กลงกลับเข้ามา แล้วหลังจากนั้นก็ขยายออกให้กว้างขึ้นกว้างขึ้น ใหญ่ขึ้นออกไป กำหนดภาพพระให้เล็ก ให้ใหญ่ตามลมหายใจเข้าออก ของเราอย่างนี้สักครู่หนึ่ง เพื่อซ้อมความคล่องตัวในสมาธิ แล้วให้ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับมาอยู่เหนือศีรษะตามเดิม เป็นพระพุทธรูปแก้วสว่างไสวอยู่อย่างนั้น ตั้งใจว่านั่นเป็นพุทธนิมิต แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดเลยนอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่านแปลว่าเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน เอาใจจดจ่ออยู่กับภาพพระที่ใสสว่างสะอาดสงบเยือกเย็น ปราศจากความรัก โลภ โกรธ หลงนี้ ตั้งใจว่าถ้าเราตายลงไป ขอมาอยู่กับพระพุทธเจ้าที่นี่ คือพระนิพพานนี้ แห่งเดียวเท่านั้น ถ้าหากตอนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ ให้กำหนดรู้ลมหายใจ ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ให้กำหนดรู้คำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจให้กำหนดรู้ ว่ามันไม่หายใจ ถ้าไม่มีคำภาวนาให้กำหนดรู้ว่ามันไม่มีคำภาวนาเอาจิตจดจ่อกับพระบนพระนิพพานอย่างนี้ไว้ จนกว่าจะบอกว่าให้เลิกได้

ให้ทุกคนแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งไว้ที่ภาพพระถ้ายังมีลมหายใจ มีคำภาวนาก็ให้กำหนดรู้ ลมหายใจและคำภาวนาตามไปด้วย ความรู้สึกส่วนใหญ่ให้อยู่กับร่างกายของเรา ไม่ว่าทำการทำงานอะไรพยายามแบ่งความรู้สึกนี้เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ที่ภาพพระอยู่ที่ลมหายใจ อยู่ที่คำภาวนา อีกส่วนหนึ่งก็บังคับร่างกายนี้ให้ทำหน้าที่ของเราต่อไป ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้คล่องตัว กำหนดภาพพระหรือคำภาวนาได้ทุกวัน เราก็จะเป็นผู้ว่างจากกิเลส มีสภาพจิตที่ผ่องใส มีสมาธิที่ทรงตัว ปัญญาที่ได้จากการปฏิบัติก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย ต่อนี้ไปก็ขอให้ท่านอุทิศส่วนกุศลที่เราได้ทำในครั้งนี้ โดยพร้อมเพรียงกัน


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๑
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 11-01-2011 เมื่อ 14:50
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา