ถ้าถามว่าพระอรหันต์สุกขวิปัสสโกสามารถพัฒนาตนเองเป็นพระอรหันต์วิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ได้ไหม ? ถ้าท่านต้องการก็น่าจะแค่ "ชั่วเคี้ยวหมากแหลก" อย่างที่โบราณว่า เหมือนอย่างกับคนที่มีเงินอยู่เต็มกระเป๋า แค่บอกวิธีว่าล้วงเงินมาใช้อย่างไรก็จบแล้ว..!
แต่เนื่องจากว่าท่านเข้าถึงความหมดกิเลสแล้ว ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องทั้งหลายเหล่านั้นไปทำอะไร ก็เลยไม่ได้คิดที่จะพัฒนาต่อให้เป็นพระอรหันต์วิชชา ๓ อภิญญา ๖ หรือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ แต่อย่าลืมว่ามโนมยิทธิที่หลวงปู่มหาอำพันใช้ ถ้าใช้แบบครึ่งกำลังก็คือประเภทวิชชา ๓ ถ้าใช้เต็มกำลังก็คืออภิญญา ๖ เพราะว่าหลวงปู่ท่านฝึกมโนมยิทธิกับหลวงพ่อวัดท่าซุงมาตั้งแต่ต้น
โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่เคยเห็นจดหมาย ตลอดจนกระทั่งเนื้อหาบันทึกข้อความที่กระผม/อาตมภาพตอบคำถามในการปฏิบัติมโนมยิทธิถวายแก่หลวงปู่ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพเป็นพระบวชใหม่ แค่ ๒ - ๓ พรรษาเท่านั้น แต่หลวงปู่ท่านไม่มีมานะ ท่านรู้ว่าใครมีความสามารถ ท่านก็ขอความรู้จากคนนั้น
ปัจจุบันนี้บรรดาสมุดบันทึก ตลอดจนกระทั่งจดหมายเหล่านั้น ก็ไม่ทราบว่ามีท่านใดเก็บเอาไว้บ้าง แต่ว่าเป็นหลักฐานว่าหลวงปู่ท่าน แม้จะเป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสโก แต่ก็ฝึกมโนมยิทธิได้และคล่องตัวมาก ถึงขนาดถอดจิตไปเยี่ยมลูกศิษย์ที่ป่วยไข้ ถ้าไปลักษณะนั้น ลูกศิษย์จะเห็นหลวงปู่ไปเป็นกายเนื้อ ๆ อย่างที่ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้เรียกว่า "ตัวเป็น ๆ" แต่ว่าอีกทางหนึ่งนั้น ถ้าไม่มีใครเฝ้าอยู่ คนก็จะตกใจ แบบเดียวกับที่หมอสุรเสนตกใจ คิดว่าหลวงปู่มรณภาพไปแล้ว
เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องของนักปฏิบัติ ไม่ใช่นักวิชาการจะมา "คิดว่า" "คาดว่า" ต้องทำเท่านั้นถึงจะเข้าถึงความเป็น "ปัจจัตตัง" ความรู้เฉพาะตน ที่วิญญูชนผู้ปฏิบัติแล้วจักสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-10-2022 เมื่อ 03:12
|