พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร.ที่ไปด้วยถามว่า "หลวงพ่อทำได้อย่างไรครับ บาดเจ็บหนักขนาดนี้ ยังไปเที่ยวต่อหน้าตาเฉย ?" กระผม/อาตมภาพก็ตอบแบบขำ ๆ ว่า "เสียดายตังค์ว่ะ ถ้าไปนอนโรงพยาบาล ก็ไม่ได้เที่ยว" แต่ความจริงก็คือเป็นการใช้กำลังใจข่มอาการเจ็บเอาไว้
เรื่องพวกนี้ไม่ควรทำนัก เพราะว่าจะไปปิดบังอาการที่แท้จริงของเรา ถ้าไม่ใช่คนที่ใช้กำลังใจบังคับร่างกายได้จริง ๆ พอถึงเวลาสมาธิหลุด คราวนี้ก็โอดโอยเลยหรือไม่ก็ล้มทั้งยืน..! แต่ด้วยความที่สมัยก่อนซักซ้อมเอาไว้มาก โดยเฉพาะในส่วนของการไม่สนใจในร่างกาย หมอหรือพยาบาลจะทำแผลก็ปล่อยเขาทำไป
"ยาตัวนี้แสบมากเลยนะครับ" เออ..ก็ปล่อยแสบไป ไม่ร้องถือว่าไม่เจ็บ..! เพราะฉะนั้น..ทุกคนจะเห็นกระผม/อาตมภาพนอนนิ่ง ๆ ให้หมอทำแผลแต่โดยดี ไม่มีอิ ไม่มีแอะ แม้แต่ขนตาก็ยังไม่ขยับ แต่อยากจะบอกว่าเจ็บฉิบหายเลยโว้ย..!
เพียงแต่กำลังใจเหนือเวทนาของร่างกาย ก็เลยสามารถที่จะทำไม่รู้ไม่ชี้ได้ เป็นเรื่องที่สามารถฝึกได้ทุกคน แล้วก็ช่วยเรื่องอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้ดีมาก ๆ แต่เพียงแต่ว่าเราจะต้องรู้ตัวอยูเสมอว่าร่างกายนี้หาความดีไม่ได้ ตราบใดที่ยังอาศัยอยู่ เรื่องของกรรมต่าง ๆ ยังตามมาสนองได้เสมอ
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเร่งรัดกำลังใจของเราเอง เพื่อที่จะให้ทุกคนสามารถที่จะย่นระยะทางในการเวียนว่ายตายเกิดให้เหลือสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือถ้าสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นที่สุด
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2022 เมื่อ 03:08
|