เมื่อเอ่ยว่า นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ท่านทั้งหลายก็จะนอบน้อมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
ท่านทั้งหลายก็จะยึดด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ ถึงเวลากราบพระ ก็ไม่สักว่าแปะ ๆ ให้ครบ ๓ ที หากแต่ว่าท่านทั้งหลายกราบด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านแค่ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปแค่เล็กน้อยว่า ถ้าหากว่าเราเองเป็นบุคคลที่เข้าถึงธรรม แต่ว่าชีวิตของเรานั้นก็ยังหาความแน่นอนไม่ได้ เอาเถิด..เราอย่าได้ยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้อีกเลย ถ้าหากว่าเราหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี เราเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอมีพระนิพพานเป็นที่ไปแห่งเดียวเท่านั้น
ถ้ากำลังใจของท่านยึดมั่นอย่างนี้ได้แล้ว ท่านก็แค่ทบทวนศีลให้บริสุทธิ์เท่านั้น ก็คือพยายามทบทวนในศีลของตน ญาติโยมทั่วไปก็ศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาก็ศีล ๘ สามเณรก็ศีล ๑๐ พระภิกษุสงฆ์ก็ศีล ๒๒๗ ตั้งใจว่าเราจะไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง จะไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล จะไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2023 เมื่อ 02:19
|