แต่คราวนี้ส่วนใหญ่แล้วพระภิกษุสามเณรสมัยนี้ มักจะคิดว่าตนเองมีความรู้ทางโลกมาก มั่นใจตัวเอง ทำให้ไม่ใส่ใจในพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์ท่านบัญญัติเอาไว้อย่างไร ประมาณว่า "กูแน่พอ" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไปวัดโน้น วัดนี้ วัดนั้น บางทีก็ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือว่าตนเองศึกษากิจวัตร วิธีวัตร อาคันตุกะวัตรครบถ้วนสมบูรณ์หรือยัง? ไปแล้วทำผิด เขาก็ตำหนิมาถึงครูบาอาจารย์
ถ้าหากว่าผิดพลาดให้ญาติโยมเขาเห็น เขาก็เสื่อมศรัทธา แล้วการเสื่อมศรัทธาไม่ได้เสื่อมแต่ตัวเรา เสื่อมเสียมาถึงวัด เสียมาถึงครูบาอาจารย์ เสียถึงพระพุทธศาสนา พูดง่าย ๆ ว่าไปในลักษณะอย่างนั้น มีแต่เสมอตัวกับขาดทุน โอกาสกำไรนี่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ใครที่คิดจะทำอย่างนั้นเพื่อรักษาญาติโยมเอาไว้ กระผม/อาตมภาพขอเตือนว่าอย่าได้เสียเวลาไปทำเลย
หลายท่านไม่ได้ไปแค่ในประเทศ ถึงขนาดไปต่างประเทศ แรก ๆ ก็ไปอยู่ในลักษณะพาโยมไป อย่างเช่นว่าไปไหว้สังเวชนียสถานทั้ง ๔ พอถึงเวลาเห็นช่องทางมากขึ้น แทนที่จะพาโยมไปแสวงบุญ ก็กลายเป็นจัดทัวร์เพื่อหาเงิน..!
เรื่องพวกนี้จะเป็นไปตามแต่กิเลสชักนำเรา ที่กระผม/อาตมภาพเคยพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า แรก ๆ ทุกคนบวชมาด้วยเจตนาดีทั้งนั้น อยากจะบวชปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อยากจะช่วยเหลือจรรโลงพระพุทธศาสนา แต่พออยู่ไป ๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามา เจตนาก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่จะทำเพื่อพระพุทธศาสนา ทำเพื่อวัดวาอาราม ก็กลายเป็นว่าทำเพื่อความสุขส่วนตัว
อย่างที่เคยบอกว่า กุฏิแต่ละหลังหรูหราเสียจนกระทั่งกระผม/อาตมภาพแทบจะไม่กล้านั่ง ต้องมีรถยนต์ราคาแพง ๆ เอาไว้อวดบารมีกัน ต้องมีข้าวของเครื่องใช้แบรนด์เนม ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ไม่นานก็จะเจ๊ง แบบเดียวกับเณรคำ ยุคที่เณรคำเฟื่องฟู ท่านนั่งเครื่องบินส่วนตัวเป็นว่าเล่นเลย..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-01-2023 เมื่อ 02:30
|