เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ระวัง ถึงเวลาโดนกิเลสชักนำไปผิดทาง โอกาสที่จะรู้ตัวและย้อนกลับมานั้นยากมาก เพราะว่ากิเลสมีกำลังแรงกว่าแล้ว ถ้าไม่ใช่คนช่างสังเกต ก็จะไม่รู้ว่าตัวเองออกนอกลู่นอกทางไปตอนไหน
กระผม/อาตมภาพเอง ขนาดเป็นคนช่างสังเกต ยังมีบางวาระที่โดนกิเลสหลอก ทั้งที่กลัวมากว่าจะเดินผิดทาง พิจารณาแล้วก็รู้สึกว่าไปตรงทางดี ผ่านไปปีที่ ๑ ปีที่ ๒ ปีที่ ๓ มาทบทวนตัวเอง รู้ตัวอีกทีอยู่ก้นเหว..! ลักษณะเหมือนอย่างกับแผ่นดินลดลงทีละมิลลิเมตร เราไม่รู้ตัวเลย เดินไปเรื่อย เดินไปเรื่อย เห็นหนทางกว้างใหญ่ชัดเจน มารู้ตัวอยู่ก้นเหวก็ผ่านไปแล้ว ๓ ปีเต็ม ๆ ครับ
ไม่ทราบเหมือนกันว่าเลข ๓ มีอะไรเกี่ยวเนื่องกับกระผม/อาตมภาพ เพราะว่าเกือบทุกอย่างมักจะอาศัยเวลา ๓ ปี ลองดูว่าคนที่ระวังตัวอยู่ตลอดเวลายังโดนขนาดนี้ แล้วท่านทั้งหลายที่ประมาทอยู่ จะโดนอะไรบ้าง ?!!
กิเลสไม่เคยปราณีเรา ถึงเวลาก็เหยียบย่ำ กดขี่ บีบบังคับให้เราอยู่ใต้อำนาจ แต่พวกเราส่วนใหญ่ก็ไม่คิดที่จะต่อสู้อย่างจริง ๆ จัง ๆ เหมือนอย่างกับกลัวว่ากิเลสจะเศร้าหมองชอกช้ำ ก็กลายเป็นเป้าให้กิเลสซ้อมอยู่ตลอดเวลา..!
การที่เราดูจริยาคนอื่น ก็คือดูเพื่อตักเตือนตนเอง เพื่อเป็นบทเรียนของตนเอง เพื่อปรับปรุงแก้ไขตนเอง ไม่ใช่ดูเพื่อจับผิดคนอื่น สิ่งที่เขาทำ เท่ากับว่าเป็นกระจกให้เราได้เห็นว่า สิ่งไหนผิดพลาด สิ่งไหนถูกต้อง เราจะได้ละเว้นในส่วนที่ผิด ทำแต่ในส่วนที่ถูก
หน้าที่ของเราก็ไม่มีอะไร ใครมาเราก็ต้อนรับให้ดี ถึงเวลาเรื่องข้าวเรื่องน้ำอะไร ไม่ต้องไปหวง ไม่ต้องไปเสียดาย เขาจะทำบุญมาคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่าก็ตาม ถือว่าเราสร้างทานบารมี สนับสนุนให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นได้ไปสร้างบุญสร้างความดีกันต่อ ๆ ไป ส่วนเจตนาของเขาจะเป็นบุญเป็นกุศลเท่าไร เราไม่ต้องไปคิดถึง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-01-2023 เมื่อ 02:33
|