ดังนั้น..ในส่วนที่ท่านทั้งหลายจะต้องระมัดระวังก็คือ ตั้งใจรักษากำลังใจของเราให้ดี ได้มากก็พอใจแค่นั้น ได้น้อยก็พอใจแค่นั้น เพราะว่าจะได้มากหรือได้น้อยก็ได้เหมือนกัน อย่าไปคิดว่าวันนี้เราได้มากขนาดนี้ พรุ่งนี้เราต้องได้แบบนี้อีก นั่นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ากำลังใจของเราแต่ละคนยังไม่ทรงตัว ถึงเวลามีขึ้น ๆ ลง ๆ ถ้าช่วงไหนที่ขึ้น เราก็กอบโกยเอาไว้ให้มากหน่อย ช่วงไหนที่ลง ภาวนาอะไรไม่ได้ แค่กราบพระงาม ๆ ครบ ๓ ครั้งก็ถือว่าเป็นบุญเป็นกุศลแล้ว..!
เรื่องของการปฏิบัติธรรมเราต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาสู้ไปตะพึด กระผม/อาตมภาพเองเคยฉลาดแบบนี้มาก่อน เพราะว่าอยู่กับครูบาอาจารย์สายวัดป่ามามาก ท่านบอกว่า "ไปภาวนาเอาลูก สู้แค่ตายนะลูก..!" ลองสู้ดูแล้ว ตายจริง ๆ ตายฟรีทุกครั้ง..! จนกระทั่งท้ายสุดก็ต้องคิดหาวิธีการพลิกแพลง ว่าทำอย่างไรที่เราจะอยู่ได้
ดังนั้น..ในเรื่องของข้อธรรมคำสอนของครูบาอาจารย์เป็นเหมือนกับแผนที่เดินทางเท่านั้น พอเราปฏิบัติไปจริง ๆ สิ่งที่เราพบ สิ่งที่เราเห็น บางทีไม่ได้เหมือนกับในแผนที่เลย เพราะว่าแผนที่เป็นแค่เส้นขีดไปเฉย ๆ แต่ของจริงของเรามีทั้งหลุม มีทั้งบ่อ มีทั้งหุบ มีทั้งเหว พลาดเมื่อไรก็ถึงตาย จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ปัญญา แต่ก็อย่างที่บอกทุกคนไปแล้วว่าไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องหาจุดพอเหมาะพอดีของตนเอง
เพียงแต่ว่าต้องตั้งหน้าตั้งตาทำแบบสม่ำเสมอ อย่าให้ขาดช่วง เพราะว่าถ้ากำลังขาดช่วงเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง ตีกลับขึ้นมา จะรู้สึกทุกข์ทรมานเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น เพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง ก็คือไฟ ไฟกิเลสที่เผาเราอยู่ตลอดเวลา คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา จะหาความสุขมาจากที่ไหน ? ก็เหลืออยู่อย่างเดียว คือทำอย่างไรจะให้ไฟดับลงได้
ถ้าหากว่าเราไปดูในอาทิตตปริยายสูตร ท่านบอกว่า โสตัง อาทิตตัง หูเป็นของร้อน สัททา อาทิตตา เสียงก็เป็นของร้อน ไล่ไปเรื่อยจนกระทั่งถึงกายและใจ ทำอย่างไรถึงจะดับไฟเหล่านี้ลงได้ ?
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-02-2023 เมื่อ 10:25
|