ดังนั้น..จึงเป็นเรื่องที่พวกเราควรที่จะปรับทัศนคติกันเสียใหม่ว่า สิ่งที่โบราณาจารย์ตั้งความหวังเอาไว้ว่า ให้พวกเราสามารถเข้าถึงธรรม โดยเฉพาะในส่วนของอนุสติสำคัญ คือ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ข้อห้ามข้อยึดถือทั้งหลายนั่นคือสีลานุสติ ถ้าหากว่ามีคาถาภาวนาควบไปด้วยนั่นคืออานาปานุสติ เป็นการที่เราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่หลายกองพร้อม ๆ กันได้ โดยที่ไม่ลำบากในการปฏิบัติ เพราะว่ามีเครื่องจูงใจคือวัตถุมงคล
แต่พอเราไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ถึงขนาดบางคนตั้งใจที่จะบูชาไปเก็บเอาไว้เพื่อเก็งกำไรหรือว่าจำหน่ายขายต่อ นั่นก็ยิ่งห่างไกลวัตถุประสงค์เข้าไปใหญ่ จนกลายเป็นว่าสิ่งสำคัญที่ครูบาอาจารย์ท่านตั้งเป้าเอาไว้ เราน่าจะเข้าถึงกันได้น้อย แล้วยังทำให้เป็นที่ดูถูกดูแคลนของคนอื่นว่า ยังมายุ่งอะไรกับเรื่องของการยึดในวัตถุอีกด้วย..!
หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ท่านเคยตอบไปแล้วว่า "ยึดในวัตถุมงคล ดีกว่ายึดในวัตถุอัปมงคล" แต่ก็มีพวก "นักวิชาเกิน" ที่คอยจะยกเรื่องพวกนี้มากระแนะกระแหนอยู่เสมอ โดยที่เข้าไม่ถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของคนเก่าคนโบราณ
จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสงสาร แต่เขาทั้งหลายเหล่านั้นกลับไม่เห็นว่าตัวเองน่าสงสาร เห็นว่าตัวเองเป็นคนเก่งที่สามารถใช้วาทะข่มคนอื่นได้ กลายเป็นเอากิเลสไปข่มชาวบ้านเขา แต่ก็ยังไม่รู้ตัว
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคาร ๒๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2023 เมื่อ 02:51
|