ส่วนในเรื่องของการที่เรามาอบรมภาวนาอยู่ในที่นี้ ในเมื่อจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติภาวนาก็ว่าเรื่องสมาธิให้เต็มที่ไปเลย ไม่ว่าตั้งแต่การบริกรรม การที่เราเกิดนิมิต การที่เราเข้าสู่ปีติ การที่เราเข้าสู่องค์ฌาน ขอให้ทุกคนพยายามซักซ้อม ทำให้คล่องตัวเข้าไว้ เพราะว่าการที่เราจะเป็นผู้นำชาวบ้านนั้น เราจะต้องมีฤทธิ์ คำว่าฤทธิ์ในที่นี้ก็คือปฏิบัติธรรมจนเห็นผล
ตรงจุดนี้พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านเจอหน้ากระผม/อาตมภาพทีไร มักจะบอกกล่าวแก่ผู้อื่นรอบข้างว่า ท่านไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง แม้ว่าคนจะเลื่องลือว่าหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุงมีฤทธิ์เป็นที่อัศจรรย์ ในเมื่อท่านไม่ได้สัมผัสด้วยตนเอง ท่านไม่สามารถที่จะยืนยันได้
แต่ว่าท่านดูจากลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งหลายที่ออกมาอยู่ข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) แห่งวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ก็ดี ท่านเจ้าคุณองอาจ (พระภาวนาประชานุกูล วิ.) แห่งวัดวีระโชติธรรมารามก็ดี หลวงพ่อชลอ (พระครูสาครสิทธิวิมล) วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ก็ตาม หรือว่าหลวงพ่อวิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส) วัดธรรมยาน และแกด้วย คำว่า "แกด้วย" ในที่นี้ก็คืออาตมภาพเอง
ท่านจะบอกว่า ดูจากพวกแกก็รู้แล้วว่าหลวงพ่อท่านมีฤทธิ์แค่ไหน บุคคลที่ไม่มีฤทธิ์ไม่สามารถอบรมลูกศิษย์ประเภทนี้ออกมาได้ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อมีฤทธิ์ ไปอยู่ที่ไหนก็สามารถที่จะเสริมสร้างสถานที่นั้นให้งดงาม เจริญขึ้นมาเหมือนกับเนรมิต คนไม่มีฤทธิ์สร้างลูกศิษย์แบบนี้ไม่ได้ ดังนั้น..ท่านจึงเชื่อว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีฤทธิ์จริง แม้ว่าจะไม่เคยสัมผัสด้วยตนเองก็ตาม
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าหลวงปู่ท่านอายุถึง ๙๐ ปีแล้ว แต่ว่าสมองยังคงแจ่มใส ไม่มีการหลงลืม สามารถบรรยายเรื่องราวให้เจ้าสำนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายได้ฟังอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุเป็นผล เป็นวิธีการที่ง่าย ๆ ฟังแล้วเหมือนกับทำได้เลยในตรงนั้น หลวงปู่ท่านใช้เวลาไปถึง ๑ ชั่วโมง ๒๕ นาที แล้วท่านถึงได้สรุปจบและขออนุญาตลากลับไป
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-03-2023 เมื่อ 02:14
|