ข้อต่อไปก็คือ บรรดาเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีมานะว่า หลักการปฏิบัติของตนนั้นดีที่สุด ในเมื่อต้องมาศึกษาเพื่อให้ปฏิบัติเหมือน ๆ กัน จึงทำให้รับสิ่งอื่นเข้าไปได้ยาก ทำตัวเหมือนกับน้ำเต็มแก้ว เมื่อถึงเวลาเทของใหม่ลงไป ก็ไหลทิ้งเสียหมด
แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราจะไม่ไปคำนึงถึง เนื่องเพราะว่าในเวลาปฏิบัติธรรมจริง ๆ นั้น ช่วงที่นั่งสมาธิก็ปล่อยให้ท่านนำไปตามรูปแบบที่ท่านถนัด แต่ว่าช่วงเดินจงกรม ยิ่งคนมากเท่าไร ยิ่งต้องการความพร้อมเพรียงเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นทุกสำนักก็ต้องกำหนดให้เดินจงกรมแบบสติปัฏฐาน ๖ ระยะ เพื่อความพร้อมเพรียง จะได้ไม่เป็นปัญหาในระหว่างผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน
อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า ทางด้านประเทศไทยของเรานั้น มีหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการปฏิบัติธรรมอยู่ ก็คือกองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย ที่กระผม/อาตมภาพนอกจากจะเป็นพระวิปัสสนาจารย์ประจำกองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทยแล้ว ยังเป็นกรรมการบริหารโดยตำแหน่ง แต่ไม่ใช่ประธานคณะกรรมการ
อีกส่วนหนึ่งก็คือสถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งทั้งสองหน่วยงานนี้จะว่าไปแล้ว สามารถที่จะทำงานร่วมกันได้ เพราะว่ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนั้นก็เกิดมาจากวัดมหาธาตุฯ กองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทยก็ตั้งอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ เช่นกัน
เพียงแต่ว่าการทำงานของกองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย ที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่มากอยู่ในระดับประเทศเลย สามารถเทียบได้กับกองธรรมสนามหลวง หรือว่ากองบาลีสนามหลวง แต่ทำงานแค่ระดับงานวัดทั่ว ๆ ไปเท่านั้น ก็คือลักษณะแนวคิดและการทำงานไม่กว้างขวางพอที่จะอยู่ในระดับบริหารงานด้านวิปัสสนาธุระทั้งประเทศ ส่วนทางด้านสถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนั้น ก็แบกงานของตนเองไว้เต็มที่แล้ว โอกาสที่จะสร้างบุคลากร คือพระวิปัสสนาจารย์ขึ้นมาจึงเป็นไปได้น้อย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2023 เมื่อ 00:55
|