วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ยินดีต้อนรับนิสิตพันธุ์ใหม่และกลุ่มคนที่มีสมรรถนะสูง ซึ่งเข้าอบรมตามโครงการที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งโครงการนี้ แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องที่พวกเรามาอบรมกันนั้น เป็นการที่เราอบรมเพื่อเพิ่มกำลังใจให้เข้มแข็งขึ้น การสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งขึ้น ก็คือสร้างกำลังใจให้เป็นสมาธิมากกว่าเดิม จะได้สู้งานได้มากกว่าเดิม ทำให้เพิ่มสมรรถนะในการทำการทำงานต่าง ๆ ได้มากขึ้น ซึ่งถ้าหากว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมจริง ๆ ก็ต้องใช้คำวัยรุ่นว่า ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"
ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมั่นใจในศักยภาพของมนุษย์ว่า สามารถพัฒนาได้จนสูงสุด คือหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน พระองค์ท่านจึงได้ตรัสสอนหลักธรรมอยู่ตลอด ๔๕ ปี จนเกิดเป็นพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่พวกเราจัดโครงการ หวังเอาผลตอนปลายนิดเดียว ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งใจเอาไว้ ที่บอกว่า "น้ำตาจิไหล" ก็เพราะว่าแค่เสี้ยวเดียวก็ดูท่าว่าพวกเราจะเข้าไม่ถึงกันอีกด้วย..!
เหตุที่เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่ตอนช่วงบ่ายที่บอกไปแล้วก็คือ อันดับแรกเลย พวกเรายังไม่ได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เนื่องเพราะว่าไม่เคยปฏิบัติจนเกิดผลกับตนเองเลยแม้แต่ระดับต่ำ ๆ จึงไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นประโยชน์ แล้วพอพวกเรามาฝึกมาหัดกัน ไปสถานที่อื่น ๆ ก็มักจะโดนครูบาอาจารย์เข้มงวด ให้เดินจงกรม ให้ภาวนาว่ากันเช้ายันค่ำ สภาพจิตก็ยิ่งต่อต้านเข้าไปใหญ่ ผลที่เกิดขึ้นจึงมีน้อยมาก แล้วปัญหานี้จะแก้ได้อย่างไร ?
อันดับแรกเลยก็คือ ขอให้ทุกคนสละเวลาอย่างน้อยตอนเช้าสัก ๓๐ นาที ตอนเย็นสัก ๓๐ นาที ภาวนาอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างจริง ๆ จัง ๆ ก็คือหายใจเข้า ตามดูตามรู้เข้าไปจนสุด หายใจออก ตามดูตามรู้ออกมาจนสุด
จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ เพราะว่าคำภาวนาไม่ใช่สาระสำคัญ คำภาวนาเป็นเพียงเครื่องโยงใจเราให้เป็นสมาธิเท่านั้น สำคัญคือสติที่รู้แนบชิดไปกับลมหายใจเข้าจนสุด ออกจนสุด เผลอตัวคิดเรื่องอื่นเมื่อไร เมื่อรู้ตัวให้รีบดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2023 เมื่อ 03:02
|