ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องมองให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์อย่างแท้จริง จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของตนเอง เห็นว่าธรรมดาของร่างกายต้องมีความทุกข์เช่นนี้ ถึงจะมีความทุกข์ก็จงมีไปเถิด ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาแล้วมีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้ว ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายของเรา ตายเมื่อไร เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว
ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำกำลังใจอย่างนี้ได้ เท่ากับว่าท่านเป็บุคคลที่เห็นความเป็นธรรมดา ถึงความทุกข์เกิดขึ้น ท่านก็ไม่ไปดิ้นรน ส่งส่ายวุ่นวายกับความทุกข์นั้น ๆ ก็จะเป็นเหมือนดั่งกับคนที่ไม่ทุกข์นั่นเอง
จึงเป็นเรื่องที่ฟังแล้วก็เสียดายว่า ญาติโยมเห็นทุกข์มานานปีแล้ว แต่ไม่สามารถที่จะจัดการทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นให้จบสิ้นลงไปได้ เนื่องเพราะไม่เข้าใจ คิดว่าการกลับเข้าไปอยู่กับความสงบของใจคือสมาธินั้น เป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่ความจริงแล้ว สิ่งนั้นเป็นการหนีปัญหาเท่านั้น เพราะว่าความทุกข์ก็ยังคงอยู่กับเราต่อไป
อีกส่วนหนึ่งก็คือญาติโยมทั้งหลายที่มาถึงก็ดีอกดีใจ ว่าได้เจอกระผม/อาตมภาพ หลังจากที่ไม่ได้เจอมาสามปีกว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถึงโยมจะดีใจ แต่กระผม/อาตมภาพไม่ได้ดีใจด้วยเลย แสดงว่ากำลังใจของญาติโยมยังยึดตัวบุคคลอยู่เป็นปกติ
อย่าลืมว่าแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเสด็จดับขันธปรินิพพาน ครูบาอาจารย์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่เนียม วัดน้อย หลวงปูป่าน วัดบางนมโค หรือว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แม้กระทั่งท่านเจ้าคุณอนันต์ ก็ล่วงลับดับขันธ์ไปหมดแล้ว ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะหมดวาระลงไปเมื่อไร
การที่ญาติโยมมีกำลังใจยึดติดในตัวบุคคล จึงเป็นการยึดในทางที่ผิด และส่วนใหญ่แล้วพุทธศาสนิกชนในประเทศของเราร้อยละ ๙๐ ก็เป็นเช่นนี้ ก็คือยึดติดในตัวบุคคล ยึดติดในครูบาอาจารย์ พอขาดครูบาอาจารย์หรือว่าครูบาอาจารย์สิ้นไป ก็เกิดอาการเคว้งคว้าง หาหลักไม่เจอ เนื่องเพราะว่าไม่ได้ยึดธรรมเป็นใหญ่
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2023 เมื่อ 02:29
|