๔. อย่างรสก็เหมือนกัน มะม่วงรสมันก็เป็นอย่างนั้น หมู เห็ด เป็ด ไก่ มันก็มีรสของมันประจำตัว (เฉพาะตัว) ถ้าเราเข้าใจธรรม มันก็เป็นของมันอย่างนั้นปกติ กลิ่นก็เหมือนกัน น้ำหอมกลิ่นมันก็ปกติอยู่อย่างนั้น ขยะมันก็มีกลิ่นปกติ เหม็นอยู่อย่างนั้น เสียงสรรเสริญ-นินทา มันก็เป็นธรรมปกติอย่างนั้น สัมผัสระหว่างเพศมันก็เป็นปกติอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมดาของชาวโลก ยิ่งชาวโลกที่ไม่รู้เท่าทันธรรมปกตินั้น ก็ติดข้องอยู่ในดงกิเลส คือ ยังจิตให้ไหวไปในความชอบใจ ไม่ชอบใจ สร้างทุกข์-สุข แนบอิงร่างกายให้เกิดอยู่ตลอดเวลา
๕. แต่ชาวธรรม ต้องทำจิตให้เข้าถึงธรรม รู้ธรรมแท้ ๆ ที่ไม่ปรุงแต่ง เห็นทุกข์ เห็นโทษของกามคุณ ๕ อย่างชัดเจน จิตไม่ติดข้องอยู่ ในที่สุดก็เข้าถึงธรรมอัพยากฤต คือ เข้าถึงพระนิพพานนั่นเอง เอ็งว่าง่ายไหม ? (ตอบว่ายาก) ง่ายหรือยากไม่สำคัญ สำคัญที่กำลังใจ ทำให้มันจริงก็แล้วกัน
๖. จำไว้ ถ้ากายมันยังไม่หมดกามกำหนัด จิตมันยังไม่หมดอารมณ์กามกำหนัด ห้ามทิ้งอสุภะและมรณา และกายคตาออกไปจากจิตเป็นอันขาด กรรมฐานเหล่านี้พระอรหันต์ท่านก็ยังไม่ทิ้ง นับรวมไปถึงอานาปากับอุปสมาด้วย จิตท่านทรงอยู่เป็นปกติ เพราะฉะนั้นจิตท่านจึงมีสติ ไม่หลงลืมความจริง คือรู้แจ้งในธรรมทั้งปวง จิตท่านจึงมีความไม่ประมาท ด้วยรู้เท่าทันกองสังขารแห่งจิต และรู้เท่าทันกองสังขารแห่งกายตลอดเวลา
๗. จิตมีปัญญา โดยอาศัยศีลกับสมาธิบริสุทธิ์-บริบูรณ์เป็นพื้นฐาน เพราะฉะนั้นเอ็งอย่าทรงกรรมฐานกองสำคัญเหล่านี้แค่สัญญา คือ จำได้เท่านั้น มันก็ใช้ไม่ได้ ต้องพิจารณาด้วยปัญญาอยู่เนือง ๆ จนกระทั่งกาย วาจา ใจ มันสงบจากอารมณ์ชอบใจ-ไม่ชอบใจจริง ๆ มันจึงจะเป็นของแท้ เรามุ่งเอาดีกัน เอาปัญญาทางธรรม อย่าเอาแค่สัญญาทางโลก คือ ความจำซึ่งหยาบเกินไปใช้ไม่ได้
|