ตอนแรก ๆ นั้น ครูบาอาจารย์ที่ศึกษาความรู้เหล่านี้ ก็ศึกษาเพื่อฝึกฝนตนเอง อย่างเช่นว่าการท่องบ่นภาวนาพระคาถา การภาวนาเขียนเลขเขียนยันต์ การภาวนาลบผงวิเศษ เหล่านี้เป็นต้น เท่ากับบังคับให้ตนเองฝึกสมาธิอยู่ทุกวัน หลังจากนั้นเมื่อกระทำได้สำเร็จตามตำรา ก็มีการทดลองวิชาสร้างแค่ไม่กี่ชิ้น ส่วนใหญ่ก็มอบให้แก่บุคคลที่ตนเองรัก หรือว่าบางทีลูกศิษย์ลูกหาไปตื๊อมาก ๆ เข้าก็ต้องสร้างให้ลูกศิษย์ไว้ใช้งาน
หลังจากนั้น เมื่อสภาพสังคมของเราเปลี่ยนไป จากการที่บุคคลคือฆราวาส ช่วยกันสร้างวัดวาอารามถวายพระ กลายเป็นว่าชาวบ้านติดในเรื่องของการทำกิน ตกอยู่ในกระแสบริโภคนิยมจนไม่มีเวลาไปสนับสนุนวัด พระสงฆ์องค์เจ้าท่านก็ต้องสร้างวัตถุมงคล เพื่อที่จะนำเอาปัจจัยมาบูรณปฏิสังขรณ์วัด ที่ชัดเจนอย่างเช่นหลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ เมื่อท่านได้รับนิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดกลางท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านประกาศเลยว่า "ข้าจะจารตะกรุดสร้างวัดให้พวกแกดู" แล้วท่านก็ทำได้สำเร็จจริง ๆ
หลังจากนั้นขั้นตอนต่าง ๆ ก็พัฒนามา เนื่องเพราะมีผู้เห็นโอกาสว่าสามารถหาประโยชน์ได้ จึงเข้าไปอาสาหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ ในการจัดสร้าง มีการวางระบบว่าจะต้องจัดสร้างเท่าไร เปิดให้จองเมื่อไร ในราคาเท่าไร จะมีการปลุกเสกกันเมื่อไร จะมีการรับวัตถุมงคลเมื่อไร กลายเป็นระบบพุทธพาณิชย์อย่างในปัจจุบัน แต่ว่าหลายท่านก็ยังยึดรูปแบบเดิม ก็คือจะสร้างต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นักวิชาการส่วนหนึ่งมักจะกล่าวหาว่า ไปทำให้บุคคลยึดติด โดยที่ลืมคิดไปว่าบุคคลนั้นมีหลายระดับ ระดับสูงก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในธรรมบริสุทธิ์ไป ระดับกึ่งกลาง ยังต้องอาศัยเครื่องยึดโยง ก็จะได้มีอนุสติ คือระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยได้ ส่วนบุคคลเบื้องล่าง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องช่วยกันลากช่วยกันจูงไป ก็ต้องอาศัยวัตถุมงคลเหล่านี้ ในการที่จะโยงเขาทั้งหลายเหล่านั้น ให้เริ่มปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา เบื้องต้น
ดังนั้น..บุคคลที่กล่าวหาว่าการสร้างวัตถุมงคลทำให้ยึดติดนั้น นอกจากท่านเข้าไม่ถึงในอุปเท่ห์ที่โบราณาจารย์วางเอาไว้เพื่อดึงคนเข้าหาพระรัตนตรัยแล้ว ท่านยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งของกระผม/อาตมภาพได้กล่าวเอาไว้ ครูบาอาจารย์ท่านนั้น คือหลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปญฺโญ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ติดวัตถุมงคล ดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-06-2023 เมื่อ 03:27
|