ในช่วงที่ท่านเสื่อมยศ กลายเป็นแค่พระมหาเอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ. ๙ ไม่มีตำแหน่งแห่งที่อะไรเลย ก็ไม่เห็นท่านจะรู้สึกรู้สาอะไร สามารถที่จะวางกำลังใจให้สงบร่มเย็นได้ตามปกติ ทำหน้าที่ของตนในฐานะศากยบุตรพุทธชิโนรสโดยไม่บกพร่อง เมื่อได้รับสมณศักดิ์คืนมาก็ไม่เห็นท่านจะดีใจอะไร แถมยังบอกว่าตอนนี้ไม่มีตำแหน่งสิดี สามารถที่จะไปไหนก็ไปได้
เรื่องนี้จึงเป็นตัวอย่างให้ทุกท่านได้เห็นว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ นั้นเป็นโลกธรรม คือธรรมะที่อยู่คู่กับโลกมา ใครสามารถที่จะรับมือได้โดยที่ไม่หวั่นไหว ก็แปลว่าเป็นบุคคลที่ต้องเข้าถึงธรรมในระดับหนึ่ง คือ ต้องมีสติ สมาธิ และปัญญา เพียงพอที่จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของนอกกาย มาได้ก็ไปได้ ตามหลักอนิจจังขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถทำกำลังใจแบบนี้ได้ กำลังใจของท่านก็จะมีความสุข นอกจากสภาพร่างกายที่มีสภาวะทุกข์ตามปกติแล้ว ก็ไม่ต้องไปแบกความเครียดอะไรทั้งสิ้น
โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมดิลกนั้น กระผม/อาตมภาพรู้จักคุ้นเคยท่านมาตั้งแต่ยังเป็นพระศรีปริยัติบดี เป็นพระราชปริยัติบดี เป็นพระเทพสุธี เป็นพระธรรมคุณาภรณ์ จนกระทั่งเป็นพระพรหมดิลก ก็ไม่เห็นว่าความประพฤติปฏิบัติของท่านจะมีอะไรแตกต่างกันจากก่อนหน้านี้เลย ยังคงให้ความเมตตาอย่างสม่ำเสมอ มีสิ่งหนึ่งประการใดท่านก็เมตตาแนะนำสั่งสอน
โดยเฉพาะวันนี้ ท่านบอกว่า "พวกแกรักกัน จับกลุ่มกันเหนียวแน่นแบบนี้เป็นการดีแล้ว ถึงเวลาจะทำอะไรจะได้มีกำลังมากพอ โดยเฉพาะการช่วยเหลืองานพระพุทธศาสนา"
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงขอถวายไว้เป็นอุทาหรณ์แก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายให้ทราบแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2023 เมื่อ 01:48
|