วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๐สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพนำพระภิกษุวัดท่าขนุนออกบิณฑบาต ตามโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าไทย นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์" ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ยังมีโครงการเพิ่มขึ้นมาอีก ก็คือโครงการ "วันเสาร์ใส่บาตรตลาดริมแคว ยลวิถีเมืองท่าขนุน" ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้น ต้องบอกว่าจัดให้มีขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่อยากทำบุญ จะได้มีสถานที่ใส่บาตรและถ่ายรูปสวย ๆ ไปอวดกัน..!
เนื่องเพราะว่าในปัจจุบันนี้ วัดที่เดินบิณฑบาตแล้วจะมีพระภิกษุตามกันไป ๒๐ กว่า ๓๐ รูป แบบวัดท่าขนุนนั้นมีน้อยมาก โดยเฉพาะวัดใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ บางวัดมีพระภิกษุ ๒๐๐ - ๓๐๐ รูป แต่ว่าต่างรูปก็ต่างออกบิณฑบาตกันเอง และโดยเฉพาะทางวัดท่าขนุนนั้น ให้บิณฑบาตตามลำดับความสูง ก็คือไล่จากสูงไปหาต่ำ ไม่ได้ไล่ตามพรรษา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แถวจึงดูสวยงามมาก บรรดานักท่องเที่ยวก็มักจะจอดรถ ขอให้หยุดเดินก่อน แล้วถ่ายรูปกันอยู่เสมอ
ส่วนบุคคลที่เป็นชาวบ้านแถวนั้น เขาใส่บาตรกันเป็นปกติทุกวันอยู่แล้ว โดยเฉพาะพี่น้องมอญพม่า จะว่าไปแล้วก็ประมาณ ๘๐ กว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของผู้ใส่บาตรที่เป็นพี่น้องมอญพม่า เนื่องเพราะว่าเขาทั้งหลายเหล่านี้ ยังมีพระพุทธศาสนามั่นคงอยู่ในจิตในใจของตนเอง
เมื่อฉันเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ให้น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) พาวิ่งลงมายังกาญจนบุรี อันดับแรกเลยก็คือนำผ้าที่ซักเอาไว้ ไปอบแห้งที่ร้านซักผ้าในตัวเมืองกาญจน์ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ทองผาภูมินั้นฝนตกทั้งวันทั้งคืน ตากผ้าไม่แห้ง..!
โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพโดนอุณหภูมิ ๓๘ - ๓๙ องศาเซลเซียส จากทางด้านภาคกลาง ตลอดจนกาญจนบุรี เมื่อกลับขึ้นไปถึงทองผาภูมิ อุณหภูมิอยู่ที่ ๒๒ - ๒๓ องศาเซลเซียส ก็เกิดอาการปางตาย มาลาเรียกำเริบ ซึ่งอาการมาลาเรียกำเริบครั้งนี้นั้น ต้องบอกว่าไม่เคยกำเริบหนักขนาดนี้มาเกือบ ๑๐ ปีแล้ว ก็คือร่างกายมีกระดูกกี่ท่อนสามารถที่จะบอกได้หมด เหตุที่คนเป็นมาลาเรียแล้วตาย ก็เพราะว่าทนการอักเสบแบบนี้ไม่ไหว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2023 เมื่อ 03:02
|