แต่ต้องชื่นชมว่าญาติโยมชาวพม่ารู้บทบาทตัวเองชัดเจนมาก ก็คือ ถ้าหากว่าคุณบวชวันนั้น เขาก็กราบไหว้อย่างเต็มไม้เต็มมือ สึกออกมาวันนั้น ก็คลุกคลีตีโมง เล่นหัวกันไปเลย ไม่เหมือนกับบ้านเรา ถ้าหากว่าบวชสัก ๓ พรรษา ๔ พรรษา สึกออกมา กลายเป็นแปลกแยกจากสังคม ไม่ต้องไปพูดถึงที่บวช ๓๐ - ๔๐ พรรษาอย่างกระผม/อาตมภาพหรอก..!
ก็เลยทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนพม่าเข้าใจบทบาทของความเป็นพุทธศาสนิกชนมากกว่าของเรา ก็คือรู้ว่าตอนไหนควรเคารพกราบไหว้ รู้ว่าตอนไหนคือเพื่อนกัน ดังนั้น..สังคมศาสนาในพม่า จึงค่อนข้างจะแปลก ๆ ในสายตาของเรา แต่ถ้าเข้าใจบริบทในสังคมของเขาแล้ว ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องปกตินั่นเอง
สรรพสิ่งทั้งหลายเดินไปสู่ความเสื่อมตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าเราไม่ฝืนต่อต้านเอาไว้ ความเสื่อมนั้นจะมาถึงช้ากว่าปกติ ดังนั้น..การที่เราท่านทั้งหลายมาปฏิบัติธรรมอยู่ คือพยายามสร้างกำลังใจของเรา ให้เข้มแข็งพอที่จะต้านกระแสโลกได้ พอที่จะให้ความเสื่อมช้าลงบ้าง เพราะว่าการทำความดี แม้ว่าจะจำนวนน้อย แต่ว่ากระแสความเย็นที่มีก็เพียงพอที่จะดับร้อนในอาณาเขตบริเวณหนึ่งได้
ฉะนั้น..ถ้าหากว่ามีคนตั้งใจทำความดีกันเป็นจำนวนมาก บ้านเราเมืองเราก็จะสงบร่มเย็นมากกว่าส่งส่ายวุ่นวาย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.๑๐ จึงได้ประทานแอพพลิเคชั่น "เสบียงบุญ" มาให้ เพื่อที่พวกเราได้ปฏิบัติภาวนา สั่งสมบุญกุศลไปเรื่อย ต่ำสุด ๑๐ นาที สูงสุด ๒ ชั่วโมง หรือถ้าหากว่าคิดว่าตนเองนั่งสมาธิได้มากกว่านั้น ก็กดแบบไม่กำหนดเวลาไปเลย..!
กระผม/อาตมภาพเอง ระยะนี้สะสมมากหน่อย เพราะว่าอยู่ในช่วงปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าวันปกติส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติใหญ่ ๓ รอบเท่านั้น เรื่องพวกนี้เราต้องทำเอง ทำแทนกันไม่ได้ "ต่อให้เป็นแฟน ก็ทำแทนกันไม่ได้" ใครทำก็เป็นของคนนั้น
สำหรับวันนี้ก็เรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2023 เมื่อ 02:30
|