หลวงพ่อพูลท่านก็อยู่แบบสุขสงบ เป็นที่พึ่งแก่ญาติโยมภายในวงแคบ จนกระทั่งท่านเจริญอายุกาลผ่านวัยมาถึง ๙๐ ปี บรรดาพระเกจิอาจารย์รุ่นปู่ รุ่นพ่อ รุ่นพี่ก็หมดไปแล้ว คราวนี้หลวงพ่อพูลก็โผล่เด่นเหมือนพระอาทิตย์ยามเที่ยง ชื่อเสียงเกียรติคุณในช่วงนั้นต้องบอกว่าดังคับประเทศไทยจริง ๆ จึงกลายเป็นอมตะเถราจารย์รูปหนึ่งของจังหวัดนครปฐมสืบมา จนกระทั่งมรณภาพ
พวกกระผม/อาตมภาพยังคุยกันขำ ๆ ว่า อันดับแรกเลย ถ้าหลวงพ่อพูลอายุไม่ยืนขนาดถึง ๙๐ กว่าปี ก็คงจะไม่มีโอกาสดังเหมือนกับพระเกจิอาจารย์รูปอื่น ๆ และถ้าท่านไม่อายุยืนจนถึง ๙๐ กว่าปี ก็คงไม่ได้เป็นท่านเจ้าคุณพระมงคลสิทธิการ น่าจะได้เป็นแค่พระครูปุริมานุรักษ์ ซึ่งเป็น ๑ ในพระครูผู้พิทักษ์พระปฐมเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ ประกอบไปด้วยพระครูปุริมานุรักษ์ พระครูทักษิณานุกิจ พระครูปัจฉิมทิศบริหาร และพระครูอุตตรการบดี ซึ่งทั้ง ๔ รูปนี้ ตั้งแต่อดีตมา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จึงเป็นตัวอย่างที่ดี ที่กระผม/อาตมภาพบอกกล่าวกับลูกศิษย์ ตลอดจนพระเกจิอาจารย์รุ่นหลัง ๆ ว่า "คุณไม่ต้องรีบดังหรอก รีบดังมากก็เหนื่อยมาก ดูอย่างหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อมสิ ท่านเองมาดังแค่ไม่กี่ปีแล้วมรณภาพ ไม่เหนื่อยมาก แต่ดังเป็นอมตะเลย"
แล้วก็ไม่ต้องไปแสวงหาความดัง เนื่องเพราะว่าแต่ละคน แต่ละท่านมีวาสนาบารมีที่สั่งสมกันมาเอง เปรียบเสมือนกับผลไม้ เมื่อถึงฤดูกาลอันเหมาะสมก็จะสุกให้เป็นที่ปรากฏต่อชนทั้งหลายเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปเร่งปุ๋ยเร่งยา จนกระทั่งบางทีก็มีสำนวนบอกกล่าวกันว่า "บ่มแก๊สมา" ก็คือซื้อสื่อทุกประเภท เพื่อที่จะสร้างความโด่งดังให้ตนเอง แต่ความสามารถแท้จริงมีเพียงน้อยนิด ไม่ทนต่อการพิสูจน์..!
เมื่อถึงเวลา ก็จะต้องล้มหายตายจากไป ถ้าหากว่าไปแบบดี ๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไปแบบเสียหาย ด้วยเรื่องของเงินทองบ้าง เรื่องของผู้หญิงบ้าง ก็จะกลายเป็นรอยด่างติดตัวไปตลอดชีวิต เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีโทษหนักต่อไปในโลกหน้าอีกด้วย..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-11-2023 เมื่อ 03:10
|