คราวนี้ความเป็นพระเป็นเณรของเราที่จะเป็น Soft Power ได้นั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นในด้านปฏิบัติกรรมฐาน พวกเราควรที่จะศึกษาภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม หรือพระไตรปิฎกเอาไว้บ้าง แต่ก็เป็นที่น่าเหนื่อยใจ เพราะว่าเวลาฝรั่งเขาสงสัยอะไร เขาถามจนถึงแก่น กระผม/อาตมภาพอธิบายคำว่า "ทุกข์" คำเดียว ใช้เวลาครึ่งค่อนชั่วโมง พอบอกว่า Suffering ฝรั่งถามว่าคืออะไร ? ทุกข์คือทุกข์แบบไหน ? ก็ต้องบอกว่าความหิว ความกระหาย ความร้อน ความหนาว ความเจ็บไข้ได้ป่วย สารพัดที่ระดมกันเข้ามาแล้วทำให้เราทนได้ยาก ภาษาพระเขาเรียกว่าความทุกข์
เขาก็บอกอีกว่าศาสนาพุทธมองโลกในแง่ร้าย อะไร ๆ ก็ทุกข์ ทำให้คนไม่อยากเข้ามาปฏิบัติธรรม ความจริงแล้วเขาโง่ไปหน่อย เพราะว่าถ้าคนปัญญาไม่ถึงแล้วไปพูดถึงเรื่องสุข เพื่อให้เขาเบื่อหน่ายความสุข กับการพูดถึงเรื่องทุกข์ เขาเห็นแล้วเบื่อหน่าย อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน ?
ดังนั้น...เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าเราไม่สามารถชี้แจงให้เขาเข้าใจชัดเจนได้ ก็ยากที่ฝรั่งเขาจะเชื่อถือแล้วเข้ามาปฏิบัติ ยกเว้นว่าเขามีพื้นฐานอยู่แล้ว อาศัยวัดเราเป็นเพียงสถานที่เท่านั้น
ดังนั้น..วันนี้ที่กล่าวถึงในเรื่องงานด้านการศึกษา ก็คือธรรมศึกษา มาถึง Soft Power ตลอดจนกระทั่งการที่พระเณรของเราจำเป็นที่จะต้องก้าวให้ทันโลกบ้าง แต่ไม่ใช่ก้าวไปแบบฟุ้งซ่าน เตลิดเปิดเปิงจนเอาไม่อยู่ แม้กระทั่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ของเราก็มีพวกที่ล้นเกินแบบนี้อยู่มาก
เมื่อวานนี้ก็เพิ่งจะมี เขาถ่ายรูปไม่ทราบว่าเป็นสามเณรรูปร่างใหญ่หรือว่าพระ เรียนจบแล้ว เอาชุดครุยมาใส่ คุณจะใส่ไปทำอะไร ? ไอ้ชุดครุยเขาไว้สำหรับฆราวาส พอถ่ายรูปออกมาแล้วก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่งาม คราวนี้ท่านทั้งหลายเข้าใจหรือยังว่า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านถึงได้ปรับอาบัติข้อที่ว่าทำอาการประหนึ่งฆราวาส ? ก็เพราะว่ามีแต่ทางเสียมากกว่าทางดี
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2023 เมื่อ 02:47
|