แล้วหลวงปู่หลวงพ่อจำนวนมากก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อานาปานสติมีคุณเพียงใด เพราะว่าสามารถสร้างอัปปนาสมาธิ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปถึงฌานที่ ๔ สร้างอรูปฌานที่ ๑ ถึงอรูปฌานที่ ๔ ซึ่งขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติ แล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็เอากำลังที่ได้จากอานาปานสติ มาพินิจพิจารณาตัดกิเลส บรรลุมรรคผลกันไปนับไม่ถ้วนแล้ว
ถ้าหากว่าเรื่องของมรรคผลพิสูจน์ไม่ได้ เราก็ดูแค่ว่าหลวงปู่หลวงพ่อท่านใดมรณภาพแล้วอัฐิกลายเป็นพระธาตุบ้าง ซึ่งร้อยละร้อย ท่านทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มาจากอานาปานสติ โดยเฉพาะมาจากสายวิสุทธิมรรค
ดังนั้น..สิ่งที่เทวทัตยุคใหม่ท่านกล่าวถึง จึงเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า และสร้างความเป็นมิจฉาทิฏฐิให้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา ถ้ามีกลุ่มบุคคลเชื่อถือ ก็มีสิทธิ์ที่จะกลายเป็นสังฆเภท ซึ่งเป็นโทษที่หนักที่สุด ที่เรียกว่าอนันตริยกรรมในพระพุทธศาสนาด้วย..!
ตามที่กระผม/อาตมภาพศึกษามา บุคคลที่ปฏิบัติอานาปานสติ โดยเฉพาะการสอนว่า อานาปานสติต้องปฏิบัติเป็นขั้น ๆ ๑๖ ขั้นด้วยกันนั้น เป็นเรื่องของบุคคลที่คิดเพ้อฝันตามตำรา โดยที่ปฏิบัติเองไม่ได้แต่อุตส่าห์พยายามกล่าวถึงไว้
เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติในอานาปานสตินั้น ไม่ใช่ว่าเราจับลมหายใจเข้ายาวเป็นอันดับแรก จับลมหายใจออกยาวเป็นอันดับสอง จับลมหายใจเข้าสั้นเป็นอันดับสาม จับลมหายใจออกสั้นเป็นอันดับสี่ กำหนดรู้กองลมเป็นอันดับห้า ระงับกายสังขารเป็นอันดับหก นั่นเป็นการพูดแบบคนไม่เคยปฏิบัติมาเลย..!
อานาปานสติทั้ง ๑๖ ขั้น ถ้าท่านจับลมหายใจเข้าออก กำหนดสติรู้อยู่ตลอดเวลา จิตจะค่อย ๆ ดิ่งลึกลงเป็นอัปปนาสมาธิ แล้วทั้ง ๑๖ ขั้นตอนนั้นก็จะอยู่ในลมหายใจเดียว ไม่ใช่ไปแยกทำทีละขั้น ซึ่งชาตินี้ไม่มีโอกาสที่จะทำถึงที่สุดได้..!
แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่หลงผิด แล้วก็ไปทำตามนั้น เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นนักวิชาการ ที่มีคนเชื่อถือมาก ท่านทั้งหลายต้องจำคำว่า "นักวิชาการ" เอาไว้ด้วย ก็คือไม่ใช่ "นักปฏิบัติ" เป็นผู้ตีความเอาตามตำราเท่านั้น แล้วก็กลายเป็นการศึกษาแบบคิดว่าเป็นเช่นนั้น คาดว่าน่าเป็นเช่นนั้น
เหมือนอย่างกับคนที่ศึกษาสูตรในการต้มยำทำแกง แล้วก็คิดว่ารสต้องออกมาเป็นเช่นนั้น ลักษณะสีสันต้องออกมาเป็นเช่นนี้ โดยที่ไม่ได้ลองทำกินเองเลย แต่ดันเอาไปสอนคนอื่นว่าทำแล้วจะเป็นอย่างนั้น ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ที่สร้างบุญมาดีพอ หรือมีความฉลาดเพียงพอ ลงมือทำด้วยตนเอง แล้วมักจะประสบผลสำเร็จ ต่างไปจากที่ครูบาอาจารย์ประเภทนี้กล่าวถึง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2023 เมื่อ 02:23
|