วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พวกเราก็เหลือกันน้อยหน่อย เพราะว่าส่วนหนึ่งไปปฏิบัติธรรม ตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อีกส่วนหนึ่งก็ไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์ให้กับผู้ปฏิบัติธรรม จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับย้ายวัดท่าขนุนไปครึ่งหนึ่ง อาจจะกลายเป็นแรงกดดันสำหรับพระวัดอื่น ๆ ได้
เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าตัวเองจะขาดบ้างเกินบ้าง ก็คงจะเกรงใจ เพราะว่าส่วนใหญ่เขาอยู่กันครบ นี่คือกำลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านทั้งหลายฝึกฝนมา ทำให้เราสามารถที่จะต่อต้านกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ก็คือฝืนใจทำในสิ่งที่เราหรือว่าคนส่วนใหญ่ไม่ชอบได้
ดังนั้น..ต่อให้เป็นการปฏิบัติในไตรสิกขาเบื้องต้น ถ้าทำดีทำถูก ก็ก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลกับพวกเราอยู่แล้ว ถ้าหากว่าทำได้ในระดับกลาง หรือว่าในระดับสูง อาจจะจัดการยากด้วย เพราะว่าจะมีการรู้เห็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตามสภาพจิตที่นิ่งสงบของเรา
เพราะว่าโดยปกติแล้ว จิตของเราก็จะกระเพื่อมไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง หรืออารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ ก็เหมือนกับน้ำที่โดนลมเป่าใส่อยู่ตลอดเวลา กระเพื่อมเป็นระลอก โอกาสที่จะเห็นอะไรก็พร่ามัวเลือนลาง หรือว่าดูไม่รู้เรื่องไปเลย แต่ถ้าหากว่าจิตของเราสงบ ก็เหมือนกับน้ำนิ่ง ย่อมสะท้อนเงาทุกอย่างรอบข้างลงไป เหมือนกับของจริงทุกประการ
เพียงแต่ว่าตรงนี้มีข้อเสียก็คือ เรามักจะจัดการไม่ถูก เนื่องเพราะว่าบุคคลที่ทำมาถึงตรงจุดนี้ อันดับแรกเลย ไม่สามารถจะรักษาภาพนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เราทั้งหลายจะใช้ความเคยชิน ก็คือพอภาพปรากฏ เราก็จะไปใช้สายตาเพ่งดูเพื่อให้ชัด การที่เราจะเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สภาพจิตของเราต้องเป็นสมาธิสูงได้ระดับนั้นพอดี การที่เรานึกจะใช้สายตาเพ่ง ก็คือการที่เราลดกำลังสมาธิลงมา เพื่อรับรู้ความรู้สึกทางร่างกาย สิ่งที่เราเห็นก็จะหายไป พอเราภาวนาต่อ ใจสงบ สิ่งเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นอีก พอเราตั้งใจเพ่งดู ก็หายอีก บางท่านติดอยู่อย่างนี้เป็นสิบปีเลยก็มี..!
แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอ่านในวิสุทธิมรรคก็ดี หรือว่าคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็ตาม ท่านจะบอกว่า "อย่าไปสนใจในนิมิตเหล่านั้น" แต่เป็นเรื่องที่แปลกมากว่า ยิ่งเราไม่สนใจ นิมิตทั้งหลายเหล่านั้นจะยิ่งปรากฏชัดและอยู่ได้นาน
นี่คือวิธีรับมือกับนิมิตต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยอุเบกขาเป็นอารมณ์ ก็คือจะมาก็มา จะไปก็ไป เราไม่ได้ใส่ใจ ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็ดูลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ กำหนดรู้คำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลง กำหนดรู้ว่าลมหายใจเบาลง ถ้าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ก็แค่เอาสติตามรู้ไปเท่านั้น อย่าดิ้นรนออกจากสภาพเช่นนั้นเพราะความกลัวตาย
เนื่องเพราะคิดว่าถ้าไม่หายใจแล้วเราจะตาย แล้วก็อย่าพยายามบังคับตัวเองให้เข้าสู่สภาวะแบบนั้น เนื่องเพราะว่าถ้าเราไม่มีความชำนาญในการเข้าออกสมาธิ การที่จะบังคับตนเองให้เข้าสู่สภาวะเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เท่ากับว่าเป็นความฟุ้งซ่าน กำลังใจยิ่งฟุ้งซ่าน โอกาสที่เข้าถึงยิ่งไม่มี
แล้วนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะพาให้เสียมากกว่าดี จนกว่าที่กำลังใจของเราจะไปได้ถึงระดับหนึ่ง ก็คือในระดับที่ รัก โลภ โกรธ หลง เบาบางลง นิมิตทั้งหลายเหล่านี้ก็จะมีความถูกต้อง ชัดเจนมากขึ้นไปตามลำดับ เพราะว่าไม่โดนชักนำ หรือว่าปรุงแต่งด้วยกิเลสในใจของเรา จนกระทั่งทำให้ผิดเพี้ยนไป เฝือไป หรือพลาดไปเลยก็ได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2024 เมื่อ 01:59
|