คราวนี้ในเรื่องของความตาย เราท่านทั้งหลายจะลืมไม่ได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า สัตว์โลกเกิดเท่าไรก็ตายหมดเท่านั้น ก็คือมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนามจะต้องตายทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าการเกิดนั้นใช้เวลาประมาณ ๙ เดือน ๑๐ เดือน กว่าจะตายใช้เวลาหลายปี จึงทำให้รู้สึกว่ามีคนเกิดมากกว่าคนตาย โดยเฉพาะถ้าคุณแม่สำราญ ครุฑวงศ์ก็มีอายุถึง ๙๙ ปี ดังนั้น..เราจึงมักจะประมาท ลืมในเรื่องของความตาย โบราณท่านถึงได้สอนว่า เมื่อเห็นผู้อื่นเสียชีวิตลงไป เราไปร่วมงานศพ ก็ให้นึกอยู่เสมอว่า อีกไม่นานเราก็จะเป็นเช่นนั้น
หรือถ้าหากว่าพิจารณาจากการที่พระพิจารณาผ้าบังสุกุล ก็คือ อนิจจา วะตะสังขารา สังขารนี้ไม่เที่ยงหนอ อุปาทะวะยะ ธัมมิโน เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ มีเกิดแล้วย่อมมีดับเป็นธรรมดา เตสังวูปะสะโม สุโข การเข้าถึงความสงบระงับจากกิเลสนั่นแหละ เป็นความสุขที่แท้จริง
ก็แปลว่าถ้าตามหลักของพระพุทธศาสนา ความตายไม่มีอะไรน่ากลัว เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกรูปทุกนาม ถ้าหากว่าเราสะสมบุญกุศลเอาไว้เพียงพอ การเดินทางไปสู่โลกหน้าก็ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิดเดียว ยกเว้นท่านที่ประมาท ไม่ประกอบกองบุญการกุศลเอาไว้ ถึงเวลาย่อมต้องหวั่นหวาดต่อโลกหน้าเป็นปกติ
ยิ่งถ้าหากว่าเป็นบุคคลที่ชำระใจให้หมดจากกิเลสได้ เห็นความเป็นธรรมดาในทุกเรื่อง แม้กระทั่งความตาย ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็จะไม่รู้สึกหวาดหวั่นอะไร ไม่ได้อยากตาย แต่ว่าพร้อมที่จะตายเสมอ เพราะรู้ดีว่าตนเองตายไป ก็เป็นอันว่าสิ้นภพจบชาติกันแต่เพียงเท่านั้น ดังนั้น..บุคคลที่จะไม่กลัวตายอย่างแท้จริง จึงมีแต่บุคคลที่สิ้นกิเลสแล้วอย่างสิ้นเชิง ก็คือพระอรหันต์เท่านั้น
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2024 เมื่อ 02:55
|