พวกเราจึงได้ทดลองการเดินข้ามถนนในกรุงฮานอย ซึ่งมีกฎเกณฑ์กติกาว่า ห้ามหยุดกลางคัน ห้ามถอยหลัง ให้เดินหน้าอย่างเดียว แล้วเราจะปลอดภัย ก็ปรากฏว่าทุกคนปลอดภัยจริง ๆ แต่ต้องยอมรับว่ารถในฮานอยนี้เยอะมาก ๆ พวกเรารอจนกระทั่งรถยนต์มารับแล้วก็พาฝ่ารถติดไป แต่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนเดิม เพราะว่าด้านหน้าของเราประมาณ ๕๐ เมตร หรือว่า ๑๐๐ เมตรจะว่างอยู่ตลอด ให้รถของเราวิ่งได้โดยไม่ติดขัด
มัคคุเทศก์พาพวกเรามาลงที่หน้าโรงละครหุ่นน้ำ ซึ่งมีการแสดงหลายรอบ แต่พวกเราไม่ได้เข้าไปดู หากแต่มัคคุเทศก์แนะนำว่า จะต้องไปช็อปปิ้งที่ไหน ? มีของดีที่ใดบ้าง ? ส่วนกระผม/อาตมภาพนั้น ไปชมทะเลสาบคืนกระบี่ ซึ่งคำว่า "หว่านเกี๊ยม" ของทางด้านเวียดนามนั้น แปลว่า "คืนกระบี่" แต่คนไทยมักจะเรียกว่าทะเลสาบคืนดาบ แล้วซื้อตั๋วข้ามสะพานแสงอาทิตย์ ซึ่งก่อนที่จะได้ตั๋วนั้น ก็ดูสิ่งต่าง ๆ ที่มีคนทำมือขึ้นมาขายบริเวณนั้น เป็นข้าวของแปลก ๆ อย่างเช่นว่าไม้สลัก ไม้ไผ่สาน หรือว่าการตัดกระดาษเป็นรูปต่าง ๆ เป็นต้น
ครั้นเข้าไปข้างในแล้ว ไม่สามารถที่จะถ่ายรูปบนสะพานได้ เพราะคนเยอะมาก จึงเดินเข้าไปขอถ่ายรูปทะเลสาบด้านใน ซึ่งความจริงแล้ว จะมีเจดีย์เล็ก ๆ ที่เป็นหมุดเมืองของทางด้านฮานอยนี้ แต่เสียดายว่าในรูปนั้นมองเห็นไม่ชัด แล้วก็เข้าไปชมศาลยอดขุนพลเจิ่นฮึงด่าว เจ้าเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ของประเทศเวียดนาม ซึ่งคล้าย ๆ กับเทพเจ้ากวนอูของประเทศจีนนั่นเอง
ในที่นี้เขาห้ามถ่ายรูป แต่กระผม/อาตมภาพเดินวนถ่ายจนรอบแล้วจึงออกมา แล้วค่อยไปเยี่ยมสหาย ก็คือตะพาบยักษ์แยงซีเกียงตัวสุดท้ายของโลกที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยรู้จักกันโดยทางใจมานาน แต่ว่าเพิ่งมีโอกาสมาเยี่ยมเยียน เพื่อนฝูงก็ไม่อยู่ ชิงตายไปก่อนหลายปี..!
แถมใกล้ ๆ นั้น ยังมีซากตะพาบเซียนซึ่งเป็นผู้มาทวงกระบี่คืนจากกษัตริย์เวียดนามอีกต่างหาก แต่ว่าซากของตะพาบเซียนนั้น เป็นการสตัฟฟ์ไว้ด้วยเทคนิครุ่นเก่า จึงมีการหดเล็กลง ทั้ง ๆ ที่หนักถึง ๒๕๐ กิโลกรัม ทำให้ซากที่ใช้เทคนิคการสตัฟฟ์แบบใหม่ของตะพาบยักษ์แยงซีเกียง สหายของกระผม/อาตมภาพนั้น ดูใหญ่กว่า ทั้ง ๆ ที่น้ำหนักแค่ ๑๕๐ กว่ากิโลกรัมเท่านั้น
เสร็จสรรพเรียบร้อย พวกเราก็ต้องมากันตรงจุดนัดพบหน้าโรงละครหุ่นน้ำ ซึ่งต้องรอกันนานมาก เพราะว่ารถบัสทุกคันจะต้องมารับผู้โดยสารที่นี่ จนกระทั่งรถมาถึงแล้ว พวกเราก็ต้องรีบขึ้นอย่างเร่งด่วน เพราะว่าข้างหลังรถติดมาก แล้วก็วิ่งฝ่าจราจรที่ติดขัดมายังสนามบินนานาชาตินอยไบ หรือสนามบินนานาชาติกรุงฮานอย ซึ่งตลอดทางนั้น แม้ว่าจะเป็นชั่วโมงเร่งด่วนก็ตาม เหมือนกับมีคนเคลียร์ทางข้างหน้าให้ตลอด เมื่อเข้ามาถึงภายในสนามบินแล้ว ต้องรอให้ทางคณะทัวร์ไปจัดการเคลียร์เรื่องข้าวของต่าง ๆ และแลกเงินด่องเป็นเงินไทยให้ กระผม/อาตมภาพจึงมานั่งบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนสำหรับท่านทั้งหลาย ลำดับต่อไปก็เป็นการรอเดินทางกลับสู่เมืองไทย
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:20
|