"บายศรี"
ความหมายของ “
บายศรี” นั้น สันนิษฐานว่าได้รัอิทธิพล มาจาก ลัทธิพราหมณ์ซึ่งเข้ามาทางเขมร ทั้งนี้เพราะคำว่า “
บาย ” ภาษาเขมรแปลว่า
ข้าวสุก ภาษาถิ่นอีสาน แปลว่า
จับต้อง,สัมผัส ส่วนคำว่า
“ ศรี ” มาจากภาษาสันสกฤตตรงกับภาษาบาลีว่า
“ สิริ ” แปลว่า
มิ่งขวัญ
ดังนั้นคำว่า
“ บายศรี ” น่าจะแปลได้ว่า
ข้าวขวัญ หรือ สิ่งที่น่าสัมผัสกับความดีงาม
“ บายศรี ” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานแปลว่า
ข้าวอันเป็นสิริ,ขวัญข้าว หรือภาชนะที่จัดตกแต่ง ให้สวยงามเป็นพิเศษด้วยใบตองและดอกไม้สด เพื่อเป็นสำรับใส่อาหารคาวหวาน ในพิธีสังเวยบูชาและพิธีทำขวัญต่าง ๆ
สมัยโบราณมีการเรียกพิธีสู่ขวัญว่า
“ บาศรี ” ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เป็นพิธีสำหรับบุคคลชั้นเจ้านาย เพราะคำว่า “
บา ” เป็นภาษาโบราณอีสานใช้เป็นคำนำหน้าเรียกเจ้านาย เช่น บาท้าว,บาบ่าว,บาคราญ เป็นต้น ส่วนคำว่า “
ศรี ” หมายถึง ผู้หญิงและสิ่งที่เป็นสิริมงคล
“ บาศรี ” จึงหมายถึง การทำพิธีที่เป็นสิริมงคล แต่ปัจจุบันนี้คำว่า บาศรี ไม่ค่อยนิยม เรียกกันแล้ว มักนิยมเรียกว่า
“บายศรี” บายศรีจะเรียก เป็นองค์ มีหลายประเภท เช่น บายศรีเทพ บายศรีพรหม เป็นต้น
ส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นบายศรี มีความหมายในทางดี เช่น
-กรวยข้าวหมายถึงความอุดมสมบูรณ์
-ใบชัยพฤกษ์หรือใบคูนหมายถึง อายุยืนยาว
-ดอกดาวเรืองหมายถึงความเจริญรุ่งเรือง
-ดอกรักหมายถึงความรักที่มั่นคง
-ไข่ต้ม...ในกรณีบายศรีแต่งงาน จะมีสองฟอง เป็นของเสี่ยงทายแทนหัวใจฝ่ายชายฝ่ายหญิง ว่าจะรักกันมั่นคง ผ่าไข่ต้มเป็นสองซีกแล้วดูกันที่ไข่แดง ถ้าเอียงไปอยู่ข้างใด ทายว่าใจโลเล แต่ถ้าอยู่ตรงกลางแสดงว่าหัวใจรักมั่นคง
ความหมายของชั้นบายศรีมิได้มีการกำหนดไว้ตายตัว หากแต่เป็นเพียงผู้ที่ประดิษฐ์บายศรีมีความเชื่อศรัทธาต่อสิ่งใดแล้ว ก็มักจะน้อมนำคำสอนหรือความเชื่อต่าง ๆ มาประดิษฐ์บายศรีเป็นชั้น ๆ และแปลความหมายตามนัยที่ตนประสงค์ต่อสิ่งศรัทธานั้น ๆ ตัวอย่างเช่น
๓ ชั้น เพื่อระลึกถึง พระรัตนตรัยมีองค์ ๓ ในศาสนาพุธ ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเทพเจ้า ๓ พระองค์ ในศาสนาฮินดู ได้แก่ พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม
๕ ชั้น เพื่อระลึกถึง ขันธ์ทั้ง ๕ หรือที่ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าเบญจขันธ์ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
๗ ชั้น เพื่อระลึกถึง โพชฌงค์ ๗ ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ได้แก่ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา (พจนานุกรมพุธศาสตร์ : ๒๓๙)
๙ ชั้น เชื่อเป็นมงคลสูงสุดในการดำเนินชีวิตจะได้ก้าวหน้ารุ่งเรือง ไม่ว่าจะทำการใด ๆ มักนิยมเลข ๙ มากกว่าเลขอื่น เพื่อระลึกถึงพุทธคุณ ๙ หรือคุณของพระพุทธเจ้า ๙ ประการที่เรียกว่า "นวารหาทิคุณ"
"นวารหาทิคุณ" คือ พระพุทธคุณ ๙ ได้แก่
๑ .
อะระหัง คือ เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้บริสุทธิ์ไกลจากกิเลส ทำลายกำแพงแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ควรได้รับความเคารพบูชาเป็นต้น
๒.
สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง
๓.
วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชา คือ ความรู้และจรณะ คือความประพฤติ
๔.
สุคะโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว คือ ทรงดำเนินพระพุทธจริยาให้เป็นไปโดยสำเร็จผลด้วยดี พระองค์เองก็ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ชนทั้งหลายในที่ที่เสด็จไป และได้ประดิษฐ์พระศาสนาไว้ แม้ปรินิพพานแล้วก็เป็นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา
๕.
โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก คือ ทรงรู้แจ้งสภาวะอันเป็นคติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทั้งหลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัยสันดานแห่งสัตว์โลกทั้งปวง ผู้เป็นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมโดยถ่องแท้ เป็นเหตุให้ทรงดำเนินพระองค์เป็นอิสระ พ้นจากอำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานั้นและทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้ยังจมอยู่ในกระแสโลกได้
๖.
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งไปกว่า คือ ทรงเป็นผู้ฝึกคนได้ดีเยี่ยมไม่มีผู้ใดเท่าเทียม
๗.
สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
๘.
พุทโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว คือ ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ถือกันมาผิด ๆ ด้วย ทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่ง เพราะไม่ติด ไม่หลง ไม่ห่วงกังวลในสิ่งใด ๆ มีการคำนึงประโยชน์ส่วนตนเป็นต้น จึงมีพระทัยเบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได้ถูกต้องบริบูรณ์โดยถือธรรมเป็นประมาณ การที่ทรงพระคุณสมบูรณ์เช่นนี้และทรงบำเพ็ญพุทธกิจได้เรียบร้อยบริบูรณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคือความเป็นผู้ตื่นและย่อมให้เกิดผลคือทำให้เบิกบานด้วย
๙.
ภควา ทรงเป็นผู้มีโชค คือจะทรงทำการใด ก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการหรือเป็นผู้จำแนกธรรม