การทรงสมาธินั้น ถ้าหากเป็นท่านที่ฝึกใหม่ แรก ๆ ก็จะยากในการตามรู้ลมหายใจเข้าออกของตนเอง หรือว่าแม้จะเป็นท่านที่ฝึกเก่าก็ตาม แต่หากขาดการประพฤติปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ยังมีการละทิ้งให้จิตของเราไปเสวยอารมณ์อื่น ๆ ในแต่ละวันแต่ละเวลา มากกว่าการอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าอย่างนั้นถึงท่านจะเป็นผู้เก่าก็จะปฏิบัติได้ยากเช่นกัน
การปฏิบัติในอานาปานสติ นอกจากจะทำให้กำลังใจของเราทรงตัว ทำให้กำลังใจของเราแนบแน่นเข้าสู่ระดับของอัปปนาสมาธิแล้ว ถ้าทำได้คล่องตัวจริง ๆ อานาปานสติจะมีผลพิเศษ คือช่วยให้เราสามารถที่จะละกิเลสต่าง ๆ ได้เช่นกัน
อย่างเช่นว่า เมื่อท่านทั้งหลายทรงอยู่ในปฐมฌานละเอียด รัก โลภ โกรธ หลงต่าง ๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นในจิตในใจของเราได้ สติ สมาธิ ปัญญา จะทรงตัวตั้งมั่นและผ่องใส เราก็จะเห็นว่า การที่เราสามารถรักษาสมาธิของเราให้ทรงตัวได้นั้น กิเลสต่าง ๆ ไม่สามารถจะกินใจได้ ก็จะใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณา ระมัดระวังรักษาไม่ให้หลุดไปจากอานาปานสตินั้น
ถ้าเราสามารถรักษาอานาปานสติได้ต่อเนื่องและยาวนาน กิเลสที่ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ นานไป ๆ ก็หมดกำลัง ท้ายสุดก็สลายตัวไปเอง เปรียบเหมือนกับการที่เราใช้ไม้ท่อนใหญ่หรือหินก้อนใหญ่ทับหญ้าเอาไว้ ถ้าหากว่าทับได้ยาวนานพอ หญ้านั้นก็จะตายไปเอง ในขณะเดียวกันถ้าหากว่าจิตทรงตัวตั้งมั่น มีความผ่องใสอย่างแท้จริง เราก็จะเกิดปัญญา เห็นทุกข์เห็นโทษของอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลงต่าง ๆ ในเมื่อเห็นทุกข์เห็นโทษ จิตก็จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด คลายความปรารถนาจากอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อจิตถอนออกมาจากความปรารถนาทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว อารมณ์ทั้งหลายที่ไม่มีจิตไปปรุงแต่ง ก็ไม่สามารถจะตั้งอยู่ได้ ถึงเวลาก็เสื่อมสลายคลายตัวไปเอง เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2010 เมื่อ 03:38
|