วันนี้ผมก็ตื่นตีสี่เช่นเคย จะอิดออดบ้างก็เล็กน้อย จิตรู้ว่าตัวขี้เกียจ มันเริ่มต่อต้านทันที เสียงของหลวงพ่อก็ดังเป็นเครื่องเตือนให้รู้ ให้มีสติ จากเครื่องเล่นเอ็มพีสามที่เปิดฟังจนหลับไปแทบทุกคืน
เสร็จจากเสร็จภารกิจส่วนตัว ก็ขับรถจักรยานยนต์ขึ้นไปบนเขา สายลมเย็นที่กระทบช่วงเช้ามืด มันก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา มันในที่นี้ก็คือร่างกายครับอย่าคิดมาก (มันไม่ใช่โปเตโต้) พอไปถึง ก็เห็นหลวงพี่ท่านนั่งอยู่แล้วในศาลา แล้วท่านก็ค่อย ๆ ลุก ส่งยิ้มให้เล็กน้อยเป็นอันว่ารู้กันว่า "เชิญปฏิบัติตามสบายโยม" แล้วท่านก็เดินลงเขาเข้ากุฏิ ท่านคงลุกขึ้นมาภาวนาของท่านหรือไม่ท่านก็ภาวนาของท่านทั้งคืน อันนี้กระผมก็ไม่กล้าถาม
แสงประทีปนวลสว่าง และสัมผัสอบอุ่น หลังจากที่ขับรถฝ่าความเย็นของอากาศช่วงเช้ามืดขึ้นมา สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าและสวนยาง กลัวเพื่อน ๆ จะยืนรอขอส่วนบุญเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่เจอสักที ไม่พูดพล่ามทำเพลงให้เสียเวลา ค่อย ๆ ก้มลงบรรจงกราบขอบารมีพระ แสงประทีปส่องสว่าง หน้าองค์หลวงพ่อเงินไหลมาเทมาและพระแก้วใสทรงเครื่อง เห็นแล้วชื่นใจ ขอบารมีพระองค์ท่านสงเคราะห์ ขอให้มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ วันนี้จิตมันอยากจะเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นเดินจงกรมแทน เลยเดินจงกรมจนสว่าง ( แค่เกือบ ๆ ชั่วโมงเท่านั้นครับ แต่มันดูเท่เหมือนเดินทั้งคืน) เดินไปเดินมา เสียงเพลงทำนองไม่คุ้นหูก็ดังมาจากแนวต้นยางพาราพร้อมแสงไฟดวงเล็ก งานนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงต้องใส่เกียร์หมาวิ่งตับแลบไปแล้วครับ พม่ายุคนี้พัฒนาแล้ว กรีดยางไปยังไม่วายฟังเพลงพม่าไปด้วย เออ เอา ๆ ความสุขเล็ก ๆ ของเขาเราไม่เกี่ยว ภาวนาต่อไปดีกว่า
ประทีปในวันนี้ไม่มีดอกไม้ประดับเหมือนวันแรก มันสะท้อนให้เป็นสัจธรรมว่า ทุกอย่างมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ดวงประทีปที่จุดสว่างแล้วยังต้องดับไปตามเวลา
หลังจากนั้นก็กราบพระอุทิศส่วนกุศล คว้าไม้กวาดมากวาดพื้น แมลงเม่าตัวใหญ่บินมาเล่นแสงประทีป ทิ้งปีกไว้เกลื่อนพื้นศาลาไปหมด กวาดซ้ายมันไปขวา กวาดขวามันไปซ้ายตามแรงลมที่เหวี่ยงไม้กวาดออกไป เสร็จแล้วก็กราบลาพระรัตนตรัยอีกแล้วก็กลับลงจากเขามา