๖. ทำไปรู้ไป อย่าทำเหมือนคนดำน้ำ หรือคนเอาผ้าดำมาผูกตา ทำมันส่งไป ไม่รู้ว่าจิตมีพรหมวิหาร ๔ ประจำจิตหรือไม่ และจงอย่าเข้าข้างอารมณ์กิเลสที่หลอกตัวเองว่า พรหมวิหาร ๔ ของเรามีเต็มแล้ว
๗. จำไว้ตราบใดที่จิตยังถูกสังโยชน์ ๑๐ รัดร้อยอยู่ในอารมณ์ ตราบนั้นห้ามพวกเจ้าคิดว่า พรหมวิหาร ๔ เต็มเป็นอันขาด
๘. อารมณ์ที่เบียดเบียนจิตให้เกิดทุกข์ ไม่ว่าจักมีอามิสก็ดี หรือเป็นธรรมารมณ์เข้ามากระทบก็ตาม จงกำหนดรู้ และศึกษาวัดกำลังของพรหมวิหาร ๔ ตามนั้น ถ้าหากยังยินดี ยินร้าย ยึดสุข ยึดทุกข์ ทำอารมณ์จิตให้หวั่นไหวนานเท่าไหร่ ก็ขาดพรหมวิหาร ๔ นานเท่านั้น จุดนี้ต้องกำหนดรู้ไว้ให้ดี ๆ
๙. และจงอย่าแก้ไขธรรมภายนอกที่เข้ามากระทบเป็นอันขาด จงหมั่นแก้ที่จิตของตนเอง ดูอารมณ์ของจิตตนเองให้ดี ๆ แก้ไขที่ตรงนี้จึงจักมีผลสมบูรณ์ ถูกต้องตามหลักธรรมที่ตถาคตตรัสสอนมา (เพื่อนผมท่านก็ยอมรับว่า ในอดีตตนมักชอบแก้ไขธรรมภายนอก ชอบโทษผู้อื่น แทนที่จะโทษอารมณ์จิตตนเองว่าไม่เอาไหน เช่น ชอบยึดโลกธรรมที่มากระทบ ไม่ยอมรับกฎของกรรม ไม่ยอมรับกฎของธรรมดา และไม่เข้าใจอริยสัจตามความเป็นจริง)
๑๐. ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วตรัสสอนว่า ดีแล้ว ที่เจ้าเริ่มรู้สึกตัว ตราบนี้ให้หมั่นปรับปรุงอารมณ์ของจิต ให้ดูตัวเองเป็นสำคัญ *ให้แก้ไข* กล่าวโทษโจทก์ตนเองเป็นสำคัญ อย่าไปโทษบุคคล สัตว์ วัตถุธาตุภายนอก ต้องโทษจิตตนเองเป็นสำคัญ ที่อยากมีร่างกายให้เกิดมารับกฎของกรรมเหล่านี้
๑๑. รู้กฎธรรมดาแต่อย่าทำจิตให้เศร้าหมอง ทรงพรหมวิหาร ๔ เข้าไว้ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุเบกขาตัวท้าย จักทำให้จิตยอมรับกฎของกรรมได้โดยสงบ เมื่อเข้าใจแล้วก็จงหมั่นนำไปปฏิบัติให้เกิดผลด้วย
|