"อาตมาเองถือว่าโชคดี ได้ดูแลพ่ออยู่ ๖ ปี ดูแลแม่อีก ๓ ปีเต็ม ๆ
ตอนที่ดูแลอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าโชคดีหรอก เพราะว่าช่วงวัยรุ่นเรียนอยู่ระหว่าง ป.๖ - ม.ศ. ๓ ตอนกลางวันเรียนหนังสือและช่วยงานบ้าน กลางคืนก็ดูแลพ่อ และท่านก็เป็นโรคที่ไม่ค่อยมีใครเหมือน ก็คือ พอเวลาผ่านไปสัก ๑๐ นาทีหรือ ๑๕ นาที กล้ามเนื้อท่านจะหดเกร็งและทรมานมาก ต้องคอยขยับนวดให้คลาย ก็แปลว่าอาตมาโดนเรียกทั้งคืน
เด็กวัยรุ่นกำลังกินกำลังนอน โดนเรียกทั้งคืน ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น..! บางเวลาเพลียจัด เสียงเรียกเหมือนดังมาสุดขอบโลก แต่เราได้ยินเพียงนิดเดียว พยายามตั้งสติที่จะลุก กว่าจะตั้งสติลุกขึ้นมาได้ พี่เขาก็ทนไม่ไหว ลุกมาก่อน เราลุกขึ้นมาพอดี ก็เลยโดน "พ่อเรียกอยู่ตั้งนาน มันทำหูทวนลม พอกูมาละก็ลุกเชียว..!" เขาไม่ได้ฟังเหตุผล ด่าเอาไว้ก่อน บางทีมีลงไม้ลงมืออีกด้วย..!
เรื่องพวกนี้ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องรับ เพราะคนอื่นล้วนแล้วแต่อ้างว่ามีภารกิจ บรรดาพี่ ๆ เขาไปทำงานกันหมด ลูกชายที่พอจะทำอะไรได้มากที่สุดตอนนั้นดันเป็นเรา ก็ต้องทนรับไป
ฉะนั้น..วันที่พ่อตาย ใคร ๆ เขาเสียใจกัน แต่อาตมารู้สึกดีใจมากเลย เหมือนกับว่าได้พ้นนรกเสียที แต่แปลกตรงที่ว่า จากที่เคยนอนอยู่กับท่านมาหกปีเต็ม ๆ พอถึงเวลาคืนแรกที่นอนคนเดียว กลับนอนไม่หลับ
รู้สึกว่าห้องแคบ ๆ กลายเป็นกว้างสุดลูกหูลูกตา ควานไปแล้วไม่เจอใคร ในเมื่อนอนไม่หลับ ก็คลานไปนอนกับศพ..! เพราะเขาเก็บศพเอาไว้ รอฤกษ์ดีจะได้ใส่โลง พออยู่ใกล้แล้วหลับได้ จึงกลายเป็นคนไม่กลัวผีมาตั้งแต่เด็กแล้ว"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-06-2010 เมื่อ 13:07
|