รายละเอียดแห่งการเจริญปัญญามีอยู่มาก ของดไว้ จึงขอสรุปว่า
๑. จงละความชั่วทั้งหมด ด้วยการให้ทาน รักษาศีล
๒. จงกระทำแต่ความดี ด้วยการเจริญสติ สมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา
๓. จงทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ ด้วยการเจริญภาวนา ทั้งสมถะและวิปัสสนาภาวนา ซึ่งต้องอาศัยกันและกัน เพื่อให้เกิดปัญญา ให้เห็นอริยสัจตามความเป็นจริง
และในการปฏิบัติกันจริง ๆ แล้ว เราปฏิบัติข้อ ๑ ข้อเดียว คือ ละความชั่ว ก็เท่ากับการกระทำความดีนั่นเอง เมื่อเราทำความดีอยู่เสมอเพราะไม่ยอมทำชั่ว หรือโดย
การละความชั่วตลอดเวลา ทำไปนาน ๆ จิตก็ชินแต่ความดี จิตก็เลยผ่องใส หรือจะพูดว่า การละความชั่วเป็นมรรค ส่วนความดีและจิตผ่องใสนั้นเป็นผล
ใครไม่ละความชั่วที่ตน ผล ๒ ข้อหลังก็ไม่เกิด เหมือนกับคำสอนของพระองค์ทั้งหมดนั้น คือ มรรค ส่วนการกระทำ การปฏิบัติของเรานั้น เป็นตัวนำมาให้เกิดผล
ถ้าเกิดผลเต็มที่เราก็พ้นทุกข์ พ้นโง่ พ้นอวิชชา พ้นวัฏฏะ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก คือ นิพพานนั่นเอง ไม่ได้สูญไปไหน หรือจะว่าสูญก็ได้ คือ สูญจากความชั่ว ความเลวทั้งหมด แต่ความดียังอยู่ครบบริบูรณ์ทุกประการ
เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่มีมรรคอยู่ในใจของตนแล้ว ได้ปฏิบัติมรรคอย่างจริงจัง ผู้นั้นย่อมเกิดผล และมีนิพพานเป็นที่สุด หรือมรรคผลนิพพานนั้นเป็นของคู่กัน แยกกันไม่ออก เหมือนกับศีล-สมาธิ-ปัญญา, สติ-สมาธิ-ปัญญา ของจริงทางพุทธศาสนาก็มีโดยย่อแค่นี้
หมายเหตุ...ส่งท้าย ท่านผู้ใดที่อ่านบทความนี้แล้ว นำไปปฏิบัติตามให้เกิดผล ท่านผู้นั้นก็มีสิทธิ์จะได้ขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้าย ๑๐๐% เต็ม
ในที่สุดนี้ ผมขออธิฐานจิตต่อพระพุทธองค์ว่า ในปัจจุบันนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้มอบกายถวายชีวิตให้แก่พระพุทธองค์ และพระพุทธศาสนาของพระองค์แล้ว ๑๐๐% โดยสัจจะวาจาของข้าพระพุทธเจ้านี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้อ่านบทความนี้ (แล้วนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง) ด้วยกันทุกท่าน เทอญ