ดูแบบคำตอบเดียว
  #12  
เก่า 13-07-2010, 08:05
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,889 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

รายละเอียดแห่งการเจริญปัญญามีอยู่มาก ของดไว้ จึงขอสรุปว่า

๑. จงละความชั่วทั้งหมด ด้วยการให้ทาน รักษาศีล

๒. จงกระทำแต่ความดี ด้วยการเจริญสติ สมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา

๓. จงทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ ด้วยการเจริญภาวนา ทั้งสมถะและวิปัสสนาภาวนา ซึ่งต้องอาศัยกันและกัน เพื่อให้เกิดปัญญา ให้เห็นอริยสัจตามความเป็นจริง



และในการปฏิบัติกันจริง ๆ แล้ว เราปฏิบัติข้อ ๑ ข้อเดียว คือ ละความชั่ว ก็เท่ากับการกระทำความดีนั่นเอง เมื่อเราทำความดีอยู่เสมอเพราะไม่ยอมทำชั่ว หรือโดยการละความชั่วตลอดเวลา ทำไปนาน ๆ จิตก็ชินแต่ความดี จิตก็เลยผ่องใส หรือจะพูดว่า การละความชั่วเป็นมรรค ส่วนความดีและจิตผ่องใสนั้นเป็นผล

ใครไม่ละความชั่วที่ตน ผล ๒ ข้อหลังก็ไม่เกิด เหมือนกับคำสอนของพระองค์ทั้งหมดนั้น คือ มรรค ส่วนการกระทำ การปฏิบัติของเรานั้น เป็นตัวนำมาให้เกิดผล ถ้าเกิดผลเต็มที่เราก็พ้นทุกข์ พ้นโง่ พ้นอวิชชา พ้นวัฏฏะ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก คือ นิพพานนั่นเอง ไม่ได้สูญไปไหน หรือจะว่าสูญก็ได้ คือ สูญจากความชั่ว ความเลวทั้งหมด แต่ความดียังอยู่ครบบริบูรณ์ทุกประการ

เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่มีมรรคอยู่ในใจของตนแล้ว ได้ปฏิบัติมรรคอย่างจริงจัง ผู้นั้นย่อมเกิดผล และมีนิพพานเป็นที่สุด หรือมรรคผลนิพพานนั้นเป็นของคู่กัน แยกกันไม่ออก เหมือนกับศีล-สมาธิ-ปัญญา, สติ-สมาธิ-ปัญญา ของจริงทางพุทธศาสนาก็มีโดยย่อแค่นี้

หมายเหตุ...ส่งท้าย ท่านผู้ใดที่อ่านบทความนี้แล้ว นำไปปฏิบัติตามให้เกิดผล ท่านผู้นั้นก็มีสิทธิ์จะได้ขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้าย ๑๐๐% เต็ม

ในที่สุดนี้ ผมขออธิฐานจิตต่อพระพุทธองค์ว่า ในปัจจุบันนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้มอบกายถวายชีวิตให้แก่พระพุทธองค์ และพระพุทธศาสนาของพระองค์แล้ว ๑๐๐% โดยสัจจะวาจาของข้าพระพุทธเจ้านี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้อ่านบทความนี้ (แล้วนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง) ด้วยกันทุกท่าน เทอญ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา