เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอสรุปลงตรงที่ว่า อานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าออกของเรานั้น เป็นตัวระงับความฟุ้งซ่านที่ดีที่สุด
เมื่อจิตเริ่มทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ความแหลมคมว่องไวของสติปัญญานั้นจะมีมาก ทำให้สามารถกำหนดอยู่กับลมหายใจเข้าออกอันเป็นปัจจุบัน โดยไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งในอารมณ์อื่น ๆ ที่ไปในอดีตและไปในอนาคต ซึ่งมีแต่จะสร้างโทษให้แก่เรา
เมื่ออานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าออก มีคุณถึงปานนี้ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราต้องปฏิบัติ อย่าได้ละทิ้ง การปฏิบัติก็อย่าได้มีเวลามานั่งเป็นการเฉพาะ ถ้ายังต้องรอเวลาการนั่งโดยเฉพาะ เราก็ยังเอาดีได้ยาก
เราต้องฝึกปฏิบัติให้ถึงระดับที่ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนก็ตาม ไม่ว่าจะทำการทำงานใด ๆ ก็ตาม ต้องสามารถรู้ลมหรือรู้คำภาวนาไปพร้อม ๆ กันด้วย ถ้าทำได้ดังนั้น ท่านทั้งหลายก็จะมีความมั่นคงของสภาพจิตที่เพียงพอแก่การใช้งาน เพราะกิเลสไม่ได้กินเราเฉพาะตอนนั่งกรรมฐาน กิเลสนั้นกินเราอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะยืน เดิน นอน นั่ง ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ก็ตาม กิเลสจะฉวยโอกาสสอดแทรกเข้ามาเพื่อที่จะกินเราอยู่ เราจึงจำเป็นที่จะต้องกำหนดรู้ในลมหายใจเข้าออกให้แน่วแน่และมั่นคง ในอิริยาบถอื่น ๆ ก็จำเป็นที่จะต้องทรงตัวให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็ไม่สามารถที่จะรบราต่อสู้กับกิเลส ไม่สามารถที่จะระงับยับยั้ง ไม่สามารถที่จะห้ำหั่นตัดทิ้งไปได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2010 เมื่อ 02:39
|