ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 21-07-2010, 12:45
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,889 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

จากนั้นสมเด็จองค์ปฐม ก็ทรงพระเมตตาตรัสสอนต่อให้ ดังนี้

๑. “อย่าคิดสงสัยในธรรม จงคิดพิจารณาในธรรม จักเห็นความจริงของกฎของธรรมทั้งปวง”

๒. “เห็นทุกขสัจในทุก ๆ เรื่อง ที่ตถาคตกับพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ตลอดจนพระสาวกแสดงมา จิตพวกเจ้าจงกำหนดรู้ว่า ทุกข์ทั้งหลายนั้นมีจริง ให้ยอมรับในทุกข์นั้น ๆ สร้างความเบื่อหน่ายทุกข์ให้เกิด จนจิตคลายจากอารมณ์กำหนัดในการเกาะทุกข์นั้น ๆ ลงได้ในที่สุด”

๓. “บุคคลผู้มองไม่เห็นทุกข์ ก็มักจักไม่ยอมรับว่าทุกข์นั้นมีจริง เป็นของจริงที่สิงอยู่ในจิตของผู้มากด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม จึงทำให้มีอารมณ์กำหนัด ไปยึดมั่น ถือมั่นในทุกข์ที่เกิดจากไฟโมหะ โทสะ ราคะ นั้น ๆ”

๔. “เมื่อมองไม่เห็นทุกข์ จิตจึงไม่ยอมวางทุกข์ ตกเป็นทาสของอารมณ์ ด้วยไม่เห็นของจริงอันเป็นกฎของธรรม (กรรม) หรืออริยสัจนั้น ๆ

๕. “จงอย่าประมาทในธรรมเป็นอันขาด พวกเจ้าจงจำเอาไว้ เผลอมากเท่าไหร่ ประมาทมากเท่านั้น”

๖. “ดูอารมณ์ของจิต ให้คงไว้ในพระกรรมฐานให้มากที่สุด เท่าที่จักมากได้”

๗. “เวลานี้พวกเจ้าประหนึ่งกำลังทำสงครามยื้อแย่งพื้นที่ของจิต โลกธรรมหรือโลกียวิสัย มันครอบครองจิตของเจ้ามานาน ต้องหมั่นพยายามสร้างเสริมกองทัพธรรม หรือโลกุตระวิสัยให้เกิดขึ้นในพื้นที่ของจิตให้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเป็นการขับไล่กองทัพโลกียวิสัยนั้น ให้ถอยออกไปจากจิตให้ได้มากที่สุด”

๘. “อย่าเผลอให้บ่อยนัก กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม มันเหมือนครอบครองเป็นเจ้าถิ่นอยู่ มันก็จักยึดทำเลพื้นที่ของจิตได้อย่างชำนาญเกมการรบ พวกเจ้าต้องดูอารมณ์จิตไว้ให้ดี ๆ อดทนกัดฟันต่อสู้กับเจ้าถิ่นเดิม ด้วยการเกาะอารมณ์พระกรรมฐานเข้าไว้อย่างแนบแน่น เผลอให้น้อยที่สุด สักวันหนึ่งชัยชนะก็จักเป็นของพวกเจ้า”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 21-07-2010 เมื่อ 13:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา