พระอาจารย์ท่านกล่าวถึงความต้องการอาหารของร่างกายว่า "บางทีในสิ่งที่ร่างกายต้องการกับกิเลสต้องการ เป็นคนละอย่างกัน
บางครั้งธุดงค์อยู่ในป่านาน ๆ ร่างกายเราขาดสารอาหาร ต้องใช้คำว่า "โหย" ไม่ใช่ "หิว" หิวนี่กินแล้วหายหิว แต่ถ้าโหยกินแล้วไม่หาย เพราะร่างกายยังได้ไปไม่พอ
ตอนที่ไปธุดงค์อยู่ ๓๐ กว่าวัน เดินจากทุ่งใหญ่ ขึ้นอุ้มผาง แล้วลงไปห้วยขาแข้ง จากนั้นวนกลับมาอีกทีหนึ่ง ออกมาที่ริมเขื่อนศรีนครินทร์ มีโยมเขาเลี้ยง เขาหุงข้าวหม้อหนึ่ง มีปลาทอด มีน้ำพริกผักต้ม มีต้มยำ สามคนพ่อแม่ลูกคงจะรอกินต่อจากพระนั่นแหละ แต่ปรากฏว่าพระกวาดเกลี้ยงหม้อไม่เหลือข้าวสักเม็ด..!
เวลาร่างกายเราขาดสารอาหารมาก ๆ กินเข้าไปเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม กินไปได้เรื่อย ๆ ชูชกที่ท้องแตกตายก็เพราะอย่างนี้
มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฉันเพลอยู่ ท่านบอกว่า "เฮ้ย..เล็ก ไปบอกป้านนทา ทำน้ำปลาพริกมาถ้วยหนึ่ง เร็ว ๆ" เราก็ไป ป้าแกอายุมากแล้ว แกก็ช้า กว่าจะซอยพริก กว่าจะทำเสร็จ เสียงหลวงพ่อมา "เร็วหน่อยโว้ย..อยากจนน้ำลายยืดแล้ว..!"
เราก็สงสัยว่าหลวงพ่อยังอยากอยู่หรือ ? เพิ่งมารู้ไม่นานนี้เองว่า ตอนนั้นร่างกายท่านต้องการ เพราะขาดสารอาหารไปเยอะ ใจท่านไม่ได้อยากหรอก"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2010 เมื่อ 17:07
|