พอดีวันเสาร์ มีคนนำสุนัขมาที่บ้านอนุสาวรีย์ พระอาจารย์จึงถือโอกาสกล่าวถึงเรื่องสุนัขหรือหมา ให้ฟังว่า "หลังจากที่อาตมาเลี้ยงหมา แล้วหมารักอาตมามากเกินไป จึงไม่ยอมเลี้ยงสัตว์แบบใกล้ชิดอีกเลย
ตอนนั้นไม่ได้นึกว่าหมาเขาจะซื่อสัตย์กับเราขนาดนั้น อาตมาไม่อยู่วัดสิบวัน เขาอดเกือบตาย เพราะเขาไม่ยอมกินอะไร คนอื่นเอาอาหารให้ก็ไม่กิน ไปนอนซุกอยู่ที่ผ้าเช็ดเท้าหน้ากุฏิ พอเรากลับไปเขาค่อยมีชีวิตชีวากินข้าวกินน้ำได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงไม่เลี้ยงแบบใกล้ชิดอย่างนั้นอีก
ตอนช่วงที่อาตมาอยู่ตึกกองทุน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับศาลาหลวงพ่อสี่องค์ตอนนั้น จะมีหมาอยู่ ๔-๕ ตัว มีโป๊ยก่ายเป็นหัวหน้า ถึงเวลากินเจ้าพวกนี้จะไปกินกับคนอื่น เพราะเราไม่เลี้ยงแล้ว แต่พอกินอิ่มก็จะกลับมานอนตรงขั้นบันได ตัวละขั้น ๆ นอนเฝ้าหน้ากุฏิ
หลวงพ่อท่านบอกว่า หมาที่มีขนใต้คาง ๑ เส้น ๒ เส้น หรือ ๓ เส้น ส่วนใหญ่มาจากพรหมหรือเทวดา จะเป็นหมาแสนรู้ พูดรู้เรื่องทุกตัว แต่ถ้า ๔ เส้นขึ้นไปแล้ว ไม่ค่อยฟังใคร ถ้าขนเส้นเดียวจะเป็นราชาหมา เวลาไปไหนหมาอื่นจะยอมลงให้
ในชีวิตอาตมานี้เจออยู่แค่ ๒ ตัวเท่านั้น อีกอย่างก็คือ หมาที่มาจากพรหมหรือเทวดา ถ้าเจ้าของมาจากที่ต่ำกว่า เขาจะไม่อยู่ด้วย เขาจะหาทางหนีไปอยู่กับคนอื่น
สมัยที่อาตมาเข้ากรุงเทพฯ มาทำงานใหม่ ๆ นั้น ยังไม่มีหมาสักตัวหนึ่ง อยู่ไปประมาณสองปีได้หมามา ๑๑ ตัว มีบางตัวสวยมาก ๆ เป็นหมาใหญ่ขนยาว หุ่นเหมือนหมาป่า เจ้าของเขาหวง พอเขาเห็นหมามาอยู่กับเรา เขาก็ล่ามโซ่ลากกลับไป แต่ถ้าหลุดจากโซ่เมื่อไรเขาก็จะวิ่งมาอยู่กับเรา
เพราะฉะนั้น...ถ้าใครเลี้ยงหมา แล้วหมาหนี ต้องพิจารณาตัวเองว่าบารมีเรายังสู้หมาไม่ได้ ถ้าหากเราต่ำกว่า เขาไม่อยู่ด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเอง ท่านว่าเขาจะหนีไปหาคนที่เสมอกันหรือสูงกว่า
ตอนแรก ๆ เราก็ไม่ได้สงสัย พอท่านบอก เราจึงเข้าใจ ตอนแรกก็นึกว่าเรามีอาหารให้เขากิน ที่ไหนได้เจ้าของเลี้ยงเขาดีกว่าเราอีก เขามาอยู่กับเราแล้วอด ๆ อยาก ๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่ก็ยังหนีมาอยู่ด้วย"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-10-2010 เมื่อ 06:23
|