๑๐ “สรุปในทางปฏิบัติ”
๑๐.๑ จงอย่าสนใจในจริยาผู้อื่น (
อย่าเสือก ชอบไปยุ่งกับเรื่องของชาวบ้าน)
๑๐.๒ จงอย่าตั้งตนเป็นคณาจารย์ใหญ่ (
อย่า “ซ่า” หากตนยังเลวอยู่ ยังรู้ไม่จริง สังโยชน์ยังไม่ขาด ยังอยู่ครบ แล้วเที่ยวไปสอนผู้อื่น)
๑๐.๓ จงอย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น (
อย่าหลง เพราะคนติคนอื่นยังเป็นคนเลว ขาดพรหมวิหาร ๔ ทุกข้อ)
๑๐.๔ จงอย่าจับผิดผู้อื่น (
อย่าเป็นตำรวจ เพราะอัตตนา โจทยัตตานัง แปลว่า คอยจับผิดตนเองและแก้ไขตนเอง)
๑๐.๕ จงอย่าแบกทุกข์ของผู้อื่น (
อย่าเป็นผู้แทน เพราะโง่หลงตนเอง ไม่เห็นทุกข์ของตนว่าหนักมากอยู่แล้ว ยังเที่ยวไปแบกทุกข์ของชาวบ้านเขาอีก)
ภาษาไทยแท้เป็นคำโดด ๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง จำง่าย แต่ในปัจจุบันกำลังจะหมดไป เพราะอุปาทานของคนในปัจจุบัน คิดว่าเป็นคำหยาบ ไม่ควรใช้ แต่ไปยกย่องภาษาต่างชาติว่าเป็นของดีแทน ผมเอาคำไทย ๕ คำ คือ เสือก ซ่า หลง ตำรวจ ผู้แทน มาใช้ ซึ่งล้วนเป็นอุปกิเลสทั้งสิ้น เพื่อให้ผู้อ่านจำได้ง่ายขึ้น
เขียนมาถึงจุดนี้ ทำให้นึกถึงหลวงพ่อคูณท่าน เพราะท่านเป็นผู้อนุรักษ์ภาษาไทยไม่ให้สูญไปจากคนไทย กูก็ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ มึงจะชอบใจหรือไม่ชอบก็เรื่องของมึง
หากมึงอ่านแล้วมึงมีอารมณ์พอใจ มึงก็สอบตก หากมึงอ่านแล้วมึงมีอารมณ์ไม่พอใจ มึงก็สอบตก เพราะพอใจก็ดี ไม่พอใจ ก็เป็นอารมณ์ ๒ ปิดกั้นทางสู่พระนิพพานไว้สนิท หมายความว่า ตัดสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ไม่ได้ จึงไม่มีทางจะเป็นพระอนาคามีผลได้นั่นเอง ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นสมมุติธรรมทั้งสิ้น ซึ่งล้วนไม่เที่ยง ใครยึด ถือเข้าเป็นทุกข์ ตัวธรรมแท้ ๆ ในพระพุทธศาสนาไม่มีชื่อ จะเรียกเป็นภาษาจิตถึงจิต เป็นภาษาธรรมถึงธรรม ร่างกายของตถาคตไม่ใช่พระพุทธเจ้า ตถาคตคือ พระธรรม ผู้ใดยังติดสมมุติอยู่ ก็ไมมีทางวิมุติหรือหลุดพ้นได้ด้วยเหตุดังกล่าวนี้
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๗
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com