ดูแบบคำตอบเดียว
  #5  
เก่า 12-05-2009, 22:01
ณญาดา's Avatar
ณญาดา ณญาดา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 27
ได้ให้อนุโมทนา: 12,041
ได้รับอนุโมทนา 34,861 ครั้ง ใน 742 โพสต์
ณญาดา is on a distinguished road
Default

ทางฝ่ายกรุงเทพ ฯ เมื่อได้ทราบข่าวการระดมไพร่พลเข้าสู่สงครามที่เมืองเมาะตะมะ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงโปรดให้ประชุมเสนาบดี ขุนนางและขุนทหารเป็นการเร่งด่วน ทรงประเมินว่า กองทัพของฝ่ายพม่าในครั้งนี้มีจำนวนมาก แต่ก็มีเป้าหมายสุดท้ายที่กรุงเทพ ฯ เช่นเดียวกัน พระองค์จึงให้เกณฑ์ไพร่พลซึ่งมีอยู่ประมาณกว่า ๗๐,๐๐๐ คน แบ่งกำลังตั้งรับตามแนวเข้าสู่กรุงเทพทั้ง ๔ เส้นทางหลักโดยแบ่งเป็น

ทัพที่ ๑ ให้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์(ภายหลังได้รับสถาปนาพระยศขึ้นเป็น กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข หรือ กรมพระราชวังหลัง) เป็นแม่ทัพ ถือพล ๑๕,๐๐๐ ขึ้นไปตั้งรับอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ อย่าให้เพลี่ยงพล้ำมิให้ถอย ประวิงเวลายันทัพเหนือของพม่าให้ได้นานที่สุด ( ๑๕,๐๐๐ ตั้งรับ ๓๕,๐๐๐ )

ทัพที่ ๒ มีกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเป็นแม่ทัพ ถือพล ๓๐,๐๐๐ ให้ไปตั้งที่เมืองกาญจนบุรี (เก่า) สกัดทั้ง ๕ กองทัพ ที่จะยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์

ทัพที่ ๓ ให้ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญรอด) กับ เจ้าพระยายมราช ถือพล ๕,๐๐๐ ไปตั้งรับอยู่ที่เมืองราชบุรี เพื่อรักษาทางลำเลียงยุทธปัจจัยของกองทัพที่ ๒ และคอยสกัดกองทัพพม่าที่อาจจะยกขึ้นมาจากทางเมืองทวาย

ทัพที่ ๔ เป็นทัพหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นจอมทัพ เกณฑ์ไพร่พลเตรียมพร้อมที่ชานพระนคร จำนวนพล ๒๐,๐๐๐ เศษ เป็นทัพหนุน พิจารณาจากสภาพการณ์จริง หากการศึกทางด้านใดเพลี่ยงพล้ำก็จะยกไปช่วยในทันที

กองทัพใหญ่ของฝ่ายพม่ามีปัญหามากมาย ทั้งการตั้งแนวลำเลียงเพื่อส่งเสบียงกรังและยุทธปัจจัย จากแนวหลังสู่ทัพหน้าก็เป็นไปอย่างยากลำบาก อีกทั้งความไม่ชำนาญในภูมิประเทศและการติดต่อประสานงานระหว่างกองทัพที่ห่างไกลกัน ก็เป็นอุปสรรคสำคัญทำให้หลายทัพที่เกณฑ์มาจากหัวเมืองประเทศราชของอมรปุระ ขาดศักยภาพในการทำสงครามกับสยาม คือมีแต่ปริมาณแต่ขาดคุณภาพ แต่กระนั้น ปริมาณที่มีศักยภาพในการรบจริง ๆ ของกองทัพพม่า ก็ยังมีจำนวนมากกว่าของฝ่ายกรุงสยามอยู่ดี และทัพเหล่านั้นก็ได้เร่งรุดยกทัพเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์แล้ว

หลายครั้งที่มีการเล่ากันเพื่อเชิดชูพระเกียรติยศจนเกินจริงที่ว่าศึกนี้เป็นศึกใหญ่ที่ฝ่ายกองทัพพม่าน่ากลัว และได้เปรียบเพราะมีกำลังพลมากกว่าฝ่ายกรุงเทพฯ แต่ในความคิดเห็น ศึกนี้หากวัดกันระหว่างกองทัพและจำนวนไพร่พลที่ปะทะกันจริง ๆ แล้วก็พอ ๆ กัน เพราะทัพใหญ่เกือบ ๑๐๐,๐๐๐ คน ที่เป็นกองหนุนและทัพหลวงของพม่านั้น แทบจะไม่ได้เข้าร่วมรบด้วยเลย

มหายุทธสงคราม ๙ ทัพนี้ “กรมพระราชบวรมหาสุรสิงหนาท หรือ วังหน้าพระยาเสือ” ทรงเป็นผู้พิชิตศึกอย่างแท้จริง เพราะผลจากการรบในยกแรก ทำให้กองทัพใหญ่จำนวนมหาศาลของฝ่ายพม่าติดอยู่ในช่องเขา และต้องเผชิญกับกลศึกมากมายในสงครามกองโจรแบบ"จรยุทธ์" เคลื่อนที่ไปข้างหน้าก็ไม่ได้ เพราะทัพหน้าถูกตรึงอยู่กับที่ มีทางเดียวคือต้องถอยทัพ และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้กองทัพพม่าเรือนแสนไม่มีโอกาสได้เข้าต่อรบ

"สมรภูมิทุ่งลาดหญ้า" จังหวัดกาญจนบุรี ที่ราบกว้างใหญ่ระหว่างแม่น้ำแควใหญ่กับลำน้ำตะเพิน จึงถือเป็นสมรภูมิสำคัญ ที่จะชี้ขาดความเป็นความตายให้กับชาวสยามในสงครามครั้งนี้

ยุทธศาสตร์การสงครามของพระองค์ คือ “การสกัดกั้น” ตรึงกำลังผ่ายศัตรูให้ตั้งมั่นอยู่ในที่เสียเปรียบ และกักกันมิให้กองทัพใหญ่ตามออกมาจากช่องเขาได้ พระองค์จึงเร่งเคลื่อนทัพจากกรุงเทพ ฯ ขึ้นไปตั้งค่ายชักปีกกาอุดทางออกของช่องเขาบรรทัดของทุ่งลาดหญ้า ก่อนที่ทัพของพม่าจะมาถึง เพราะถ้ามาถึงได้ก่อน พม่าก็จะสามารถขยายพลรบในที่ราบกว้าง จัดทัพใหม่เก็บเสบียง ทัพหนุนจะตามออกมา กองทัพพม่าจะกลายเป็นกองทัพที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาในทันที !!!

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงได้พระยาเจ่งและกองทัพมอญสวามิภักดิ์ ซึ่งมีความคุ้นเคยกับภูมิประเทศเป็นอย่างดีมาช่วยรบ กองทัพสยามตั้งค่ายชักปีกกา ขุดสนามเพลาะ ปักขวากหนาม ตั้งปืนกะระยะยิง และส่งทหารไปร่วมกับทัพมอญขึ้นไปสกัดถ่วงเวลาที่ด่านกรามช้าง

เมื่อกองทัพที่ ๔ ของพม่ายกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ผ่านเมืองไทรโยคเข้ามาทางเมืองท่ากระดาน ตีด่านกรามช้างแตกอย่างยากลำบาก จึงยกเข้ามาเผชิญกับกองทัพของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ที่ตั้งค่ายรอรับอยู่แล้ว ฝ่ายพม่าจึงเร่งตั้งค่าย ปลูกหอรบประจันหน้ากับฝ่ายไทยบนเชิงเขา ซึ่งดูจะได้เปรียบด้านความสูงกว่า แล้วนำปืนใหญ่ขึ้นหอสูงยิงถล่มค่ายของฝ่ายสยาม จนยากจะหาที่ปลอดภัยจากกระสุนปืนใหญ่ฝ่ายพม่า ไพร่พลสยามเริ่มเสียขวัญและเริ่มระส่ำระสาย แต่ด้วยความเด็ดขาดของ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ที่ทรงประกาศว่า หากใครถอยหนีหรือไม่ยอมสู้รบ ให้ลงโทษอย่างหนักโดยจับตัวใส่ครกขนาดใหญ่และโขลกให้ร่างแหลกละเอียด ซึ่งนั่นก็ทำให้ไพร่พลหันหน้ากลับมาฮึดสู้กับฝ่ายพม่าอีกครั้ง

ปืนใหญ่ของฝ่ายพม่าก็ยังระดมยิงใส่ค่ายสยามอย่างรุนแรง กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จึงคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ โดยประยุกต์ปืนใหญ่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทรงให้ตัดไม้ยาวสองศอก เสียบเข้าปลายกระบอกปืนใหญ่แทนลูกกระสุน แล้วยิงใส่ค่ายพม่าจนหอรบปืนใหญ่ของพม่าพังลงมาทั้งหมด
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg Na16.jpg (94.6 KB, 78 views)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เด็กเมื่อวานซืน : 14-05-2009 เมื่อ 16:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ณญาดา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา