"องค์ต่อมาซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าทำคุณแก่พุทธศาสนาอย่างมหาศาล ในช่วงประมาณพุทธศักราช ๗๐๐ คือ พระเจ้ากนิษกะมหาราช นอกจากทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีแนวความคิดที่เปิดกว้างมาก
พระองค์นิมนต์ทั้งพระที่เป็นเถรวาทและมหายานมารวมกัน แล้วยังนิมนต์พราหมณ์มาร่วมงานด้วย ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกแล้วจารึกพระไตรปิฎกจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ โศลก ถ้าเป็นในปัจจุบันคือ ๑๐๐,๐๐๐ หัวข้อ เป็นภาษาสันสกฤตแล้วนำไปถวายให้กับประเทศต่าง ๆ
โดยเฉพาะการจารึกพระไตรปิฎก มีการจารึกเป็นภาษาสันสกฤต ทำให้คนทั่ว ๆ ไปสามารถที่จะอ่านเข้าใจได้ การสังคายนาพระไตรปิฎก ๓ ครั้งแรก เป็นการจารึกด้วยตัวอักษรบาลี ซึ่งเป็นภาษาที่ตายแล้วไม่มีคนใช้
สาเหตุที่จารึกด้วยอักษรที่ไม่มีคนใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้คำสอนผิดเพี้ยนไป ความหมายจะได้คงเดิมตลอด รักษาพุทธวจนะได้อย่างมั่นคง แต่พอมาจารึกเป็นสันสกฤต ความหมายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป คำพูดหนึ่งก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป
อย่างสมัยก่อนเขาเรียกว่า "ชิ้น" สมัยถัดมาเป็น "คู่รัก" สมัยถัดมาเรียกว่า "แฟน" ปัจจุบันก็มี "กิ๊ก" อีก คำพูดเปลี่ยนไปเรื่อย ความหมายก็จะเปลี่ยน แต่ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่คนอินเดียใช้กันเป็นปกติอยู่แล้ว ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปอ่านเข้าใจ ทำให้พุทธศาสนาเผยแผ่กว้างไกลขึ้นได้
ดังนั้น..พระมหากษัตริย์ที่มีคุณูปการแก่พระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกจริง ๆ ก็ต้องนับพระเจ้าอโศกมหาราชและพระเจ้ากนิษกะมหาราช สำหรับท่านอื่น ๆ ผลงานของท่านยังอยู่ในวงแคบ ทั่วโลกไม่ได้รู้จักชัดเจนเหมือนสองพระองค์นี้"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2010 เมื่อ 03:17
|