๓๕. ถูกเทวดาหลอก
เคยได้ยินแต่ถูกผีหลอก มีคนถูกเทวดาหลอกด้วยหรือ...? มีซีจ๊ะ...อาตมาเองนี่แหละที่ถูกหลอกอย่างจั๋งหนับเลย อะฮ้า...อะฮ้า...ไม่อยากคุยถึงความโง่ของตนเอง แต่เมื่อมันแพลมออกมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่เล่าเดี๋ยวแม่ตีตายเลย...ฮึ...ฮึ...
เทวดาเขาหลอกสนิทดีจริง ๆ ถือว่าศักดานุภาพมาก ปลอมตัวเก่งเลยหลอกต้มเขาเรื่อยไป กรรมสนองเข้าซักวันหนึ่งหรอกน่า (อาฆาตล่วงหน้าไว้เลยซิเอ้า...) หลวงพ่อเอง ท่านโดนมาหลายวาระด้วยกันแล้ว ท่านเล่าให้ฟังว่า... ครั้งหนึ่ง ท่านไปธุดงค์กับหลวงพ่ออีกสององค์ ออกจากวัดบางนมโคตัดเข้าสุพรรณบุรี ปักกลดที่บ้านไร่รถ ๑ คืน รุ่งขึ้นตรงเข้ากาญจนบุรี (สมัยนั้นแค่สุพรรณก็ดงเสือดงช้างแล้ว ถ้าถึงเมืองกาญจน์แปลว่า ไม่ต้องการเห็นหน้ามนุษย์กันล่ะ...)
ป่าเมืองกาญจน์นี่เองที่หลวงพ่อเจอดีเข้า พอพบที่เหมาะใจก็ปักกลดเจริญกรรมฐาน ตามแบบที่หลวงปู่ปานท่านสอนมา รุ่งเช้าออกบิณฑบาตกลางป่าดงดิบนั่นแหละ มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุซัก ๑๓-๑๔ ปี (ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็ดัดจริตเป็นสาวแล้ว...) มาใส่บาตรทุกวัน... อีหนูหน้ามอมมีแต่ข้าวกับดอกไม้เท่านั้น บ้านช่องของเธอก็ไม่เห็นว่าอยู่ทางไหน (ป่าตอนนั้นเป็นป่าดงดิบ ต้นไม้สูงลิบลิ่วมีใบแต่บนยอด ข้างล่างเหมือนเสาไปตั้งไว้ มองไปทีเห็นไกลเป็นกิโลเลย)
หลวงพ่อเล็กลงทุนเดินหาบ้านของเธอก็ไม่พบ...
วันที่สาม...หลวงพ่อเล็กทนสงสัยไม่ไหว ถามว่า “
หนู...บ้านอยู่ไหนจ๊ะ...?” เธอไม่ตอบ หัวเราะเสียงดัง แล้วเดินหายไปในหมู่ไม้ ไม่ออกมาใส่บาตรอีกเลย หลวงพ่อทั้งสามอดแทบตาย ต้องฉันยอดต้นเปราะป่าประทังหิว... อดข้าวได้สามวัน ทุกองค์เห็นหลวงปู่ปานมาหา บอกว่าเด็กหญิงนั้นเป็นเทวดา ต่อไปจงอย่าสนใจเรื่องอื่น เขาจะมาจากไหนก็ช่าง ใส่บาตรให้เรามีข้าวกินก็พอแล้ว พรุ่งนี้ให้ออกบิณฑบาตใหม่ เธอกับเพื่อน ๆ จะมาใส่บาตรให้...
รุ่งเช้าเธอมากับเพื่อนหลายคน แต่งตัวมอมแมมเหมือนเดิม พอเห็นหลวงพ่อทั้งสามเธอก็ยิ้ม (ยายนี่สมน้ำหน้าที่พระอดข้าว...) แต่หลวงพ่อท่านไม่ยิ้มด้วยแล้ว ก้มหน้าก้มตารับบาตรอย่างเดียว โดนเข้าไปครั้งหนึ่งเข็ดไปนาน...
หลังจากนั้นก็ปักกลดแถวนั้นแหละ (มีคนเลี้ยงแล้วนี่ จะดิ้นรนไปไหนล่ะ...) อยู่ตามถ้ำบ้าง อยู่ตามโคนไม้บ้าง ตั้งแต่เดือนอ้ายจนใกล้ถึงกลางเดือนหก วันหนึ่ง...มีผู้ชาย ๔ คน รูปร่างล่ำสัน ผิวดำ ผมหยิก ตรงเข้ามาหา ร้อยวันพันปีไม่เคยเจอ อยู่ ๆ ก็โผล่มาดื้อ ๆ... พวกเขาบอกว่า บริเวณนี้จะมีฝนตกหนัก ๓ วัน ๓ คืน นิมนต์หลวงพ่อทั้งสาม ย้ายไปพักที่ภูเขาด้านทิศตะวันตก ที่นั่นมีถ้ำใหญ่น้ำท่วมไม่ถึง เรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วง พวกเขาจะหามาให้ (รู้ด้วยว่าห่วงเรื่องกิน น่าขายหน้า แฮ่...!)
คราวนี้หลวงพ่อทั้งสามไม่ยอมให้หลอกง่าย ๆ อีกแล้ว สังเกตว่าพวกเขา
ตาแดงและไม่กะพริบตา ก็มั่นใจว่าเป็น
บริวารท้าวเวสสุวรรณปลอมตัวมา จึงแกล้งถามว่า รู้อย่างไรว่าฝนจะตก เขาบอกว่า อยู่แถวนี้มานานจนรู้ดี (ไปได้ลื่น ๆ เลย...) หลวงพ่อทั้งสามตามไปก็พบถ้ำใหญ่ อยู่ใต้ผาชะโงก พอเข้าไปฝนก็ตกพอดี มันตกสามวันสามคืนจริง ๆ หนักบ้างเบาบ้างสลับกันไป ไม่มีขาดเม็ด...พอเวลาเช้าก็มีคนมา บ้างก็หญิง บ้างก็ชาย หนุ่มสาว เฒ่าชะแรแก่ชรา มีครบ ลุยน้ำมาใส่บาตร...
หลังฉันแล้วเขาก็ชวนคุย สารพัดเรื่องที่จะสรรหามา ตอนหนึ่ง...หลวงพ่อถามเขาว่า “
บ้านอยู่แถวนี้กันทุกคนเลยหรือ...?” เขารับคำว่าใช่ หลวงพ่ออดรนทนไม่ไหวเลยพูดตรง ๆ ออกไปว่า “
นี่คุณ...ตั้งแต่คุณมาจนบัดนี้ คุณยังไม่กระพริบตาเลยนะ...” พวกเทวดาเขาไม่ต้องกระพริบตากันหรอก (แต่ถ้าไปจ้องจริง ๆ เดี๋ยวพวกกระพริบให้ดูซะอย่างนั้นแหละ...) พวกเขาร้องว่า “
อ้าว...ท่านรู้แล้วก็ไม่บอก เล่นเอาพวกผมหลงแสดงฟรีซะตั้งนาน...” เลยได้หัวเราะกันครื้นเครง แต่คราวนี้ไม่อดข้าวแฮะ...
นี่เป็นลวดลายที่เทวดาเขาหลอกต้มกัน อีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อโดนที่ป่าเมืองกาญจน์เช่นเคย ท่านเล่าว่า...ประมาณหกโมงเย็นก็ปักกลด ปรากฏรัศมีสีเขียวจัดจ้ามาก ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ทั้งกลดทั้งจีวรดูเขียวไปหมด กินเวลานานทีเดียวกว่ารัศมีสีเขียวจะจางไป... หลวงพ่อถามพระภูมิเจ้าที่ว่าเป็นแสงอะไร ท่านบอกว่าเป็น
แสงของเหล็กไหล ที่อยู่ในถ้ำใกล้ ๆ นี่เอง หลวงพ่อขอให้นำไปดูหน่อย ท่านบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะพาไป หลังฉันเช้าจะมารับ ขอให้หลวงพ่อเตรียมตัวตัวให้พร้อมก็แล้วกัน...
ถึงเวลามีชายชาวป่าคนหนึ่ง นุ่งกางเกงขาสามส่วน มีผ้าขาวม้าพันหัว ถือมีดขอมาหนึ่งด้าม มาถึงก็ชวนว่า “
ไปกันเถอะ...” หลวงพ่อถามว่าจะให้ไปไหน เขาว่า “
อ้าว...ก็จะพาไปดูเหล็กไหลอย่างไรเล่า...” หลวงพ่อบอกว่าเสียท่าเขาจนได้... นึกว่าจะมาเป็นเทวดา เล่นมาซะสุดโทรมแบบนี้ใครจะไปจำได้ ถูกต้มสุกสนิทไปเลย เขาถางต้นไม้ที่ขึ้นรกใกล้ ๆ ที่ปักกลด เห็นมีปากทางเข้าไป ได้พบโคตรเหล็กไหลก้อนเท่าหม้อข้าว ลองเอาเทียนลนมันก็ยืดลงมา พอเอามือแตะมันหดปั๊บกลับไปเป็นก้อนอย่างเดิม... หลวงพ่อถามว่ามีวิธีตัดมั้ย...? เขาบอกว่ามี ใช้คาถาตัด “
แต่ผมบอกท่านไม่ได้หรอก เพราะผมมีหน้าที่รักษาเหล็กไหลก้อนนี้ครับ...” เป็นอันว่าไม่ต้องคุยกันต่อ จากที่เล่ามาแสดงให้เห็นว่า ถ้าเทวดาจะหลอกใครละก็ พ่อหลอกได้สนิทนักแล...
อาตมาเคยถูก
แม่ยายแจ๋ว (เด็กในร้านอาหารที่วัด) ต้มซะเปื่อยเหมือนกัน ตอนนั้นอาตมาเพิ่งบวชได้ไม่นาน ได้รับนิมนต์ไปงานทำบุญ ๗ วัน หรือ ๑๐๐ วัน ก็จำไม่ถนัด กำลังสวดมนต์อยู่ เห็นอทิสมานกายของหญิงชราคนหนึ่ง รูปร่างท้วมเล็กน้อย แต่งเนื้อแต่งตัวซะสุดโทรมเลย มาถึงก็ขอส่วนกุศลเอาดื้อ ๆ...
อาตมาบอกเขาไปว่า “
เจ้าของบ้านกำลังทำบุญเลี้ยงพระ เดี๋ยวโมทนาบุญกับเขาซิ” ผียายแก่ตอบไปคนละเรื่องว่า “
ไก่ที่เขาแกงเลี้ยงท่าน มันไม่ได้ตายเองเจ้าค่ะ” อาตมางงไปครู่หนึ่งจึงนึกออกว่าหลวงพ่อเคยสอนว่า... “
งานบุญใดก็ตาม ถ้าเจ้าภาพเริ่มต้นด้วยบาป เช่น มีการฆ่าสัตว์เพื่อทำอาหาร หรือมีการเลี้ยงเหล้า เป็นต้น ผีเขาไม่ยอมโมทนาด้วยอย่างเด็ดขาด เพราะนอกจะไม่ได้บุญแล้ว ยังจะเดือดร้อนเพราะโมทนาบาปซะอีก...” อาตมาจึงอุทิศส่วนกุศลให้ ยายผีนั่นโมทนาปุ๊บ กลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราว หายตัวแว่บไปทันที อาตมาเพิ่งรู้ว่าถูกหลอกอย่างจังเบอร์ เพราะถ้าแกลำบากจริงจะมาไม่ได้ ภายหลังสอบถามดูจึงรู้ว่า ลักษณะอย่างนั้นคือแม่ของยายแจ๋วเอง...
นี่ยังจับได้แม้จะไล่ไม่ทัน ครั้งที่โดนต้มเปื่อยจริง ๆ คือ ครั้งที่
พระองค์ที่ ๑๐ เสด็จมางานวัดท่าซุงนั่นแหละ มีชายหนุ่มตามมาด้วย ๓ คน มีคนหนึ่งที่อาตมาตามพบทีหลัง แสดงว่าไม่ใช่พ่อเทวดาตัวดี แต่อีกสองคนนี่ซิ... คนหนึ่งหุ่นแบบอาเสี่ยเลย ใส่เสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีเทา อีกคนหนึ่งนุ่งกางเกงสีเขียวขี้ม้า ใส่เสื้อยืดลายพรางเหมือนทหาร นั่งรวมกลุ่มกับนายหนุ่มที่เป็นคนแท้ ๆ ดูอาตมาปะทะคารมกับพระองค์ที่ ๑๐ ท่าน...
ขณะที่ทุกคนเกิดความมันในอารมณ์ ส่งเสียงเฮฮาชอบใจ มีแต่พ่อสองคนที่นั่งยิ้มอยู่เฉย ๆ (มาตอนนี้เพิ่งนึกได้ เขายิ้มเยาะเรานี่หว่า) คงจะสมเพชเวทนาที่อาตมาหูหนวกตาบอด ไปดวลกับพระชั้นบรมครูอยู่ได้ (มันน่า...นัก...!) เมื่อพระองค์ที่ ๑๐ จะกลับ ท่านให้เรียกหา “คน” ทั้งสอง อาตมาเห็นแต่นายหนุ่มคนที่มาพบทีหลังเท่านั้น อยู่ ๆ อีกสองคนก็เดินออกมาจากหลังต้นโพธิ์ ทำท่าเหมือนกับเพิ่งได้ยินเสียงเรียก (ตีหน้าตายสนิทเป็นบ้าเลย...)
ตอนขึ้นรถ
อาจารย์ประเสริฐนั่นเอง พ่อเทวดาเห็นอาตมาไม่หายโง่ซักที จึงออกลายให้เห็น โดยอาตมาเห็นแต่พระองค์ที่ ๑๐ กับ
พระสมานเท่านั้น อีกสองพระหน่อไม่ทราบว่าไปอยู่ซะที่ไหน “
เอ๊ะ...ลูกศิษย์หลวงปู่หายไปไหน...?” อาตมาถามเพื่อน
ยายติ๋ว (ปัจจุบันคือ น.ต.หญิงอริศรา กิติธีระกุล) ตอบว่า “
อยู่ในรถนั่นไง แน่ะ...เขายิ้มให้ฉันด้วยล่ะ...” อาตมามองจนตาแทบประทุก็ไม่เห็นใครซักคน ฝ่ายยายติ๋วก็ยืนยันเสียงแข็งว่ามีแน่ ๆ (ยายนี่เขาโกหกไม่เป็นหรอก โง่กว่าอาตมาตั้งเยอะ...ฮิ...ฮิ...) พออาจารย์ประเสริฐถูกพระองค์ที่ ๑๐ เล่นกลทิ้งไปดื้อ ๆ กลับมาถึงวัด จึงมีการสอบถามกันเป็นการใหญ่...
อาตมาถามพระสมาน (ลาสิกขาไปแล้ว) ท่านก็ยืนยืนว่า ทั้งสอง “คน” นั่งไปด้วยกันแน่ รถของอาจารย์ประเสริฐคันแค่แมวดิ้นตาย เบาะหลังถ้านั่งสามคนก็แทบจะขี่คอกัน อาตมาถามว่า “
เบียดกันมั้ยครับ...?” ท่านว่า “
หลวม ๆ นั่งสบาย ๆ...!” เมื่ออาตมากราบเรียนถามหลวงพ่อ ท่านหัวเราะอย่างอารมณ์ดี บอกว่าทั้งสององค์เป็น
อินทกะของท้าวเวสสุวรรณ นั่งมองอาตมาตาไม่กะพริบเป็นชั่วโมง ๆ ทนความโง่ของอาตมาไม่ไหว ก่อนจากเลยทิ้งท้ายให้รู้ตัว (แต่ก็ยังไม่หายโง่ แฮ่...)
อาตมากับ
ธรรมนูญ (อาจารย์ธรรมนูญ นาคส่องแสง) ถูกคนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นท่านอินทกะทั้งสองอยู่นานนับเดือน กว่าเขาจะยอมรับว่า อาตมาเป็นคนปกติเหมือนพวกเขา ส่วนพ่อเทวดาทั้งสองสบายไปเลย ยายติ๋วเขาอุทิศส่วนกุศลให้ทุกครั้งที่ทำบุญ แถมยังมาคุยจ้อว่า “
เทวดานะเหรอ...ฉันเคยคุยด้วยมาเป็นวัน ๆ เลยล่ะ...” เอากับแม่ซิ...!
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสถึงเทวดาอยู่บ่อย ๆ บรรดาพระอรหันตสาวกก็พบกับเทวดาเป็นประจำ แต่ยังมีท่านที่เขายกย่องว่าเป็นปราชญ์ พยายามบิดเบือนคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู ว่าเทวดาไม่มี พรหมไม่มี นิพพานสูญ...
พวกนี้ต้องให้ยายติ๋วเจริญพรให้ซักชุด จะได้ไม่ขยายความโง่ของตนออกมาอีก เลวซะเทวดาไม่มอง ดันมาหาว่าท่านไม่มี น่าจะโดนบาทาของท่านซักฉาด จะได้รู้สำนึก แต่ก็นั่นแหละ คนเราจะโง่หรือฉลาด อยู่ที่ครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอน ท่านได้รับการอบรมมาอย่างนั้น ท่านก็ต้องเชื่ออย่างนั้น เป็นเรื่องน่าสงสารมากกว่า...!
๑๐ มีนาคม ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ