พระไตรปิฎกนี้เขาถือเป็นบาลีหลัก แต่บางสิ่งบางอย่างยุคสมัยถัดไปจะไม่รู้ จึงมีอรรถกถาขึ้นมาอธิบายพระบาลี พอนานไปสิ่งที่อรรถกถาอธิบายก็ไม่เหมาะกับยุคสมัยอีก จะมีฎีกาจารย์ขึ้นมาอธิบายอรรถกถา
พอถัดไปอีกยุคหนึ่ง คำอธิบายของฎีกาจารย์ รุ่นหลังก็ไม่รู้ อย่างเช่น บอกว่าพระอาจารย์ฝ่ายข้างนั้น รุ่นหลังไม่รู้ว่าฝ่ายข้างไหน เพราะฎีกาจารย์เขาแบ่งเป็นมหาวิหารกับอภัยคีรีวิหาร ทีนี้เราก็ไม่รู้ว่าฎีกาจารย์ที่เขียนเป็นฝ่ายมหาวิหารหรือเป็นฝ่ายอภัยคีรีวิหาร เขาจะใช้ในลักษณะที่ไม่ให้กระทบกระทั่งกันว่า พระอาจารย์ฝ่ายข้างนั้น ก็จะมีอนุฎีกาจารย์มาอธิบายฎีกาอีกทอดหนึ่ง
พอนานไปอนุฎีกาคนก็ไม่เข้าใจอีก ก็มีเกจิอาจารย์มาอธิบายอนุฎีกา ดังนั้น..เกจิ แปลว่า ต่าง ๆ , เกจิอาจารย์ แปลว่า อาจารย์ต่าง ๆ กันไป คือ อาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งก็ได้ ที่มีความเข้าใจแล้วมาอธิบายให้ฟัง
แต่คนรุ่นหลังไปตีความคำว่าเกจิอาจารย์ ไปอีกอย่าง กลายเป็นว่า ต้องมีความขลัง สามารถทำการปลุกเสกเลขยันต์ได้ เป็นการใช้ความหมายผิด ความหมายที่ใช้ผิดของบาลีมีเยอะในปัจจุบัน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-01-2011 เมื่อ 07:59
|