โดยเฉพาะพยายามใช้ปัญญาของเรา พิจารณาให้เห็นชัดเจนว่า ร่างกายของเรานี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และมีความสลายไปในที่สุด ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนแม้แต่อย่างเดียว
ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของความปรารถนาที่ไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ
ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนหลับตาลงไป เราดำเนินชีวิตอยู่ในกองทุกข์ที่แผดเผาเราให้เร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา แล้วท้ายที่สุดร่างกายนี้ก็เสื่อมสลายตายพังคืนแก่โลกไป ไม่สามารถที่จะยึดถือเป็นตัวเป็นตนของเราให้มั่นคงได้
ในเมื่อสภาพร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ ร่างกายของคนอื่นเป็นอย่างนี้ วัตถุธาตุทุกอย่างก็เป็นอย่างนี้ ก็แปลว่าไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุธาตุ เป็นสิ่งของใด ๆ ก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีความไม่เที่ยง มีความเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรดำรงอยู่ได้ในลักษณะเป็นเราเป็นของเราให้ยึดถือมั่นหมายเลย
เมื่อเป็นดังนี้เราควรจะไปที่ใด ก็ต้องตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ว่าสถานที่เดียวที่เป็นเอกันตบรมสุข พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงคือพระนิพพาน บุคคลที่จะไปสู่พระนิพพานได้นั้น จะต้องตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการให้ขาดสิ้นไปให้ได้ โดยอันดับแรก ต้องยึดหัวหาดด้วยการตัดสังโยชน์ทั้ง ๓ ข้อให้ได้ก่อน
สังโยชน์ทั้ง ๓ ข้อก็คือ สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา และเคยสอนกันมากแล้วว่า สภาพร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกาย ให้เราอยู่อาศัยเพียงชั่วคราว ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป กลับคืนเป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเลย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-05-2011 เมื่อ 15:45
|