อารมณ์กลัวจะไม่มีกิน(กลัวอด)
เพื่อนผมท่านมาอยู่วัด ทำงานให้วัดมาตลอดต้องตื่นตั้งแต่ตี ๑ ตี ๒ ขึ้นมากวาดวัดเป็นปกติ
ทำงานซ่อมโบสถ์ วิหาร เจดีย์เก่าของวัดมาหลายปี โดยไม่เคยได้รับเงินจากวัดเลย แต่สิ่งที่ท่านได้คืออริยทรัพย์ หรือโลกุตรทรัพย์ซึ่งสามารถเอาติดใจไปได้เมื่อกายตายแล้ว ทุกสิ่งที่ท่านทำนั้นล้วนเป็นวิหารทาน
พระพุทธเจ้าตรัสว่าถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังไม่ได้บุญเท่ากับถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง ท่านอยู่มาได้ทุกวันนี้ก็เพราะคนอื่นช่วยสงเคราะห์ทั้งสิ้น
และรู้ด้วยว่าการกระทำหรือกรรมที่ตนทำอยู่นี้ เป็นการลดละสักกายทิฐิได้อย่างดี ส่วนการบ่นนั้นทำจิตตนเองให้เศร้าหมอง เป็นการเพิ่มสักกายทิฐิ กรรมนี้ขาดทุน ทั้ง ๆ ที่รู้ ๆ ก็ยังอดบ่นในใจไม่ได้ เลยชักกลุ้มใจกลัวว่าจะไม่มีกิน
สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ดังนี้
๑. “
อารมณ์นั้นจักตัดได้จริง ๆ ก็ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ ถ้าต่ำกว่านั้นตัดไม่ได้ เพียงแต่ระงับได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีความทรงตัว”
๒. “เพราะฉะนั้น การที่เจ้ากลัวอดตายจึงไม่ใช่ของแปลก เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่ต้องคิดว่าอารมณ์ที่ติดอยู่นั้นเป็นของเลว จริง ๆ แล้ว
มันเป็นของธรรมดา”
๓. “
อย่าไปห่วงเรื่องขันธ์ ๕ จะอดให้มากนัก มาใช้ความเพียรตัดอารมณ์กามฉันทะและปฏิฆะให้สิ้นซากไปเสียดีกว่า”
๔. ทรงตรัสถามว่า “หมู่นี้เจ้าทบทวนหลักสูตรใหม่แล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
(ตอบว่า ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังตัดอารมณ์ทางเพศไม่ได้) ทรงตรัส “ก็เป็นธรรมดาอีก เพราะยังไม่ใช่
พระอนาคามีผล น้ำอสุจิหรือระดูอันมาจากฮอร์โมนเพศยังไม่เหือดแห้งไป ร่างกายก็ต้องมีอาการกำหนัดเป็นธรรมดา”
๕. “อย่างที่เจ้า
เพ่งร่างกายตนเองให้เหลือแต่โครงกระดูก เพื่อทำลายอาการกายกำหนัดนั้น ทำได้ถูกต้องแล้ว เพราะเนื้อไม่มี ระบบประสาทก็ไม่มี จักเอาอาการกำหนัดของกายมาจากไหน แต่พึงต้องเจริญอสุภะนี้ให้ต่อเนื่องกันไป อย่าวางอารมณ์ของการปฏิบัติเป็นอันขาด”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๘
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com