ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 19-07-2011, 08:42
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,887 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default ปฏิปทาของหลวงปู่เขียน

ปฏิปทาของหลวงปู่เขียน จ.พิจิตร

หลวงพ่อฤๅษีท่านเคยเล่าถึงหลวงปู่เขียน จ. พิจิตร มีความว่า

๑. ท่านเคยไปกราบหลวงปู่เขียนที่ จ. พิจิตร

หลวงพ่อถามว่า : หลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่า หวยมันจะออกเลขอะไร

หลวงปู่ตอบ : เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านเขียนเลขรางวัลที่ ๑ สิบงวดที่จะออกในครั้งต่อ ๆ ไปให้กับหลวงพ่อฤๅษีไว้ บอกว่าอย่าเพิ่งเปิดดู ฉลากออกเมื่อใดจึงค่อยเปิดดู

หลวงพ่อบอกว่า ถูกตรงรางวัลที่ ๑ ทุกงวดไม่มีผิดพลาดเลย

๒. ความดังของหลวงปู่เขียน จึงดังในเรื่องให้หวยเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องของทางโลกทั้งสิ้น ส่วนทางธรรมซึ่งจะนำไปสู่ความหลุดพ้นไม่ค่อยมีคนจะสนใจ ทั้ง ๆ ที่ท่านมีให้อย่างสมบูรณ์


ลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งมาเล่าให้ฟัง ตอนที่เพื่อนผมท่านไปงานศพแม่ของหลวงพี่โอที่ จ. พิจิตร ความว่าหลวงปู่เขียนเป็นศิษย์ของหลวงปู่โต วัดระฆัง ตอนมรณะอายุได้ ๑๘๔ ปี ท่านให้หวยแม่นมาก ท่านเลี้ยงสัตว์ไว้ในวัดหลายอย่าง ท่านรู้ภาษาสัตว์ เรียกสัตว์ที่อยู่ไกล ๆ ให้กลับวัดได้ ท่านธุดงค์โดยสัตว์ป่าไม่เคยทำร้ายท่าน ส่วนใหญ่เน้นทางโลก ทางธรรมไม่ค่อยจะเอากัน


หลวงปู่ท่านเมตตาสอนเพื่อนผมซึ่งปรารถนาทางธรรมเป็นหลักสำคัญไว้ ดังนี้

๑. “ไอ้หนู เลี้ยงวัว ด่าวัว ตีวัว เป็นบาปบ่” (ตอบว่า เป็น) “นั่นแหละ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา เราไม่ทำ ก็ไม่มีทางได้เจอ

๒. “พระอรหันต์ไฉนจึงเป็นผู้บ่มีกรรม กายนี้ถูกคุม วาจาถูกคุม ใจถูกคุมให้อยู่ในความสงบจนชิน ท่านระมัดระวังบ่ให้กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมาเกิดขึ้นในจิต พระอรหันต์มีอารมณ์เฉย ๆ อยู่อารมณ์เดียว(หมายถึง สังขารุเบกขาญาณ, อุเบกขาญาณ)

๓. (ถามท่านว่า ร้อนก็ไม่รู้ หนาวก็ไม่รู้หรือ) ท่านตอบว่า “รู้สิ ไม่รู้ได้หรือ ถ้าอายตนะรับสัมผัสยังมี แต่รู้ก็สักเพียงแต่ว่ารู้ ร้อน หนาวมันเป็นเรื่องของกาย จิตบ่ได้ร้อนหนาวไปกับกายด้วย

๔. “คนเขาจะด่า จะชม จะทำร้ายร่างกายเรา นั่นมันก็เป็นกรรมที่เราเคยทำเอาไว้แต่อดีต ช่างมัน ใช้มันไป อย่าไปดิ้นรน แล้วจิตจะสบาย

๕. “อะไรจะมาแรงเท่าลม อะไรจะมาคมเท่าน้ำ อะไรจะมาร้อนเท่าไฟ อะไรจะมาทนเท่าดิน โลกทั้งโลกก็เป็นธาตุ ๔ ร่างกายของเฮาก็ธาตุ ๔ ถ้ามันมีกำลังเสมอกันก็ดีน่อ แต่หลักความจริงแล้ว ธาตุลมมันกำเริบทุกวัน แล้วก็เสื่อมทุกวัน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุดินก็เหมือนกัน มันไม่เที่ยง มันมีแต่ทุกข์

๖. “ผู้ใดกำหนดรู้ กำลังของธาตุเอาไว้เสมอ ๆ ก็บ่มีความประมาทในชีวิต แค่รู้ธาตุลมตัวเดียวก็เห็นความไม่เที่ยงชัด เมื่อเห็นชีวิตใกล้กับความตายทุก ๆ เวลาที่หายใจเข้าแล้วบ่หายใจออกก็ตาย หายใจออกแล้วบ่หายใจเข้าก็ตาย พระอรหันต์จึงบ่ประมาทในชีวิต

๗. “ไม่ประมาทก็ต้องมีสติ สติจะมีได้ก็ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกน่อ เมื่อมีสติก็มีสัมปชัญญะ กำหนดรู้ไปถึงกรรมที่จะเกิดขึ้นทางกาย วาจา ใจ

๘. “นี่ต้องรู้อยู่ตลอดเวลาว่า กรรมที่กายทำอยู่นี้เป็นคุณหรือเป็นโทษ เป็นกุศลหรืออกุศล กรรมที่คิดอยู่นี้เป็นคุณหรือเป็นโทษ เป็นกุศลหรืออกุศล นี่ต้องรู้ก่อนที่จะทำ จะพูด จะคิด มิใช่ทำแล้ว พูดแล้ว หรือคิดแล้วจึงค่อยรู้ อย่างนั้นก็ใช้บ่ได้น่อ นี่ก็ตรงกับบาลีที่ว่า นิสัมมะ กรณัง เสยโย พระพุทธองค์ทรงตรัสยืนยันไว้น่อ

๙. “พระอรหันต์กว่าท่านจะหมดกรรมได้ ก็ต้องทำอย่างนี้น่อ ระวังกรรมที่เป็นอกุศลไม่ให้เกิดขึ้นทางกาย วาจา ใจ แต่ร่างกายหรือขันธ์ ๕ ของท่านยังอยู่ จึงทำงานกุศลไปตามหน้าที่ ตามกำลังของร่างกายที่มีอยู่ แต่ทว่าจิตใจบ่ได้ไปเกาะติดกรรมที่เป็นกุศลนั้น ๆ

๑๐. “นี่แหละไอ้หนู ที่เขาว่าพระอรหันต์ทำดีอย่างไร ก็บ่มีกรรมปรากฏ ก็ตรงนี้แหละน่อ

๑๑. “ในบุคคลที่ต้องการก้าวหน้าในผลของการปฏิบัติ เขาจักต้องทำกันอย่างนี้ กำหนดรู้อารมณ์ให้ได้ แต่ไม่ใช่เครียดน่อ ถ้าทำเครียดก็ไม่ใช่ตัวจริง ต้องทำได้รู้ได้แบบอารมณ์เบา ๆ นั่นน่อ ตั้งใจทำให้ดีเน้อ หลวงปู่ไปล่ะ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2011 เมื่อ 10:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา