"...เพราะว่าโดยมากเวลาพูดคนเขาได้ยินก็มาถามว่าเรื่องอะไร นี่ไม่มีใครถามเลย พูดบอกว่าเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่มีใครเอาใจใส่ ก็น่าแปลกมาก เสร็จแล้วเวลากลับมาพูดได้ มีเสียง เสียงออกมาเป็นเสียงหนังตลุง เสียงหรือสำเนียงเป็นปักษ์ใต้ไปหมด คนเขาก็แปลกใจ แล้วก็มีความคิดแปลก ๆ เวลาพูด มีบางคนที่มาเยี่ยมก็อาจจะโกรธไปก็ได้ อาจจะน้อยใจไปก็ได้ เพราะว่าอยู่ที่สวนจิตรฯ ในห้องนั่นเอง
เขาก็ตั้งห้องนั้นเป็นห้องฉุกเฉิน ห้องไอซียู แต่ก็ได้ขู่เอาไว้ว่าถ้าไม่หาย ถ้าไม่สบายขึ้น เดี๋ยวขอย้ายไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนของมูลนิธิอีกแห่งหนึ่ง พวกที่มาเยี่ยมก็คงแปลกใจ ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลของสภากาชาด หรือของทางราชการ
แต่อยากจะไปโรงพยาบาลของมูลนิธิ ก็เกิดความคิดอย่างนั้น แล้วบางทีก็เกิดความคิดจะไปสร้างคอนโดมีเนี่ยมที่บางไทร คือมีความคิดแปลก ๆ เวลาเป็นไข้นี่ แต่ลงท้ายเวลาค่อยยังชั่วหน่อยก็มาทบทวนเรื่องราวว่าพูดถึงแผนการที่ดูมันแปลก ๆ ก็ยังยืนยันว่าจะต้องทำโครงการโน้นโครงการนี้ต่อไป
เวลานั้นมีพายุโซนร้อนเข้าก็ไม่รู้ตัวเลย เพราะว่าตอนนั้นอยู่แดนสนธยา แต่ลูกที่ ๒ ที่เข้ามาก็รู้ แล้วก็เห็นว่าน้ำมันท่วม เพราะว่าแพทย์ที่มารักษาบอกว่าออกจากบ้านไม่ได้ ต้องนั่งเรือออกจากบ้าน แล้วก็ต้องสร้างทำนบสำหรับป้องกันน้ำท่วม แล้วบางทีน้ำก็พังทำนบเข้ามาในบ้าน ก็เดือดร้อน เลยเกิดความคิดว่ากรุงเทพฯ นี้อยู่เหนือน้ำหรือใต้น้ำกันแน่
ฉะนั้นก็เลยลองคิดดูว่าวิธีที่จะทำ ทำอย่างไรดี ก็เลยได้วางแผนการในหัว แล้วก็ได้ศึกษาในเรื่องนี้ ที่จริงก็ได้ศึกษามานานแล้ว ก็ได้ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาพบแล้วก็มาพูดกัน ให้ทำแผนการเพื่อที่จะป้องกันและเพื่อที่จะแก้ไขสถานการณ์ ก็เลยพบสิ่งเดียวกันกับที่กล่าวมาเมื่อตะกี้ว่า แต่ละคนต้องทำหน้าที่ และแต่ละคนก็จะต้องช่วยกัน ร่วมกันทำและจะมีผลสำเร็จ..."
|