๔๐. ฝนล้างอาถรรพ์
พระเดชพระคุณหลวงพ่อของอาตมา เป็นพระผู้ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนา และประชาชน อย่างอเนกอนันต์ ทั้งในทางโลกและในทางธรรม ด้วยเหตุที่ท่านเป็นคนตรง จึงมักพูดหรือเทศน์แบบขวานผ่าซาก ทำให้ชาวบ้านได้รับรู้และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ขึ้นอีกเป็นอันมาก แต่มันกระทบกระเทือนต่อนักบวชเลว ๆ และฆราวาสผู้กอบโกยโกงกินทั้งหลาย จึงเป็นเหตุให้ท่านมีศัตรูเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญคือ...มีลัทธิการเมืองลัทธิหนึ่งต้องการครอบครองประเทศไทย ทำการล้มล้างประเทศของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ไม่สำเร็จซักที เขารวบรวมข้อมูลแล้ววิจัยออกมาว่า เหตุที่ทำลายชาติของเราไม่ได้ เพราะเราประกอบด้วยสถาบันหลัก ๓ ประการคือ
ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ คอยค้ำจุนเอาไว้
ถ้าต้องการล้มล้างชาติไทย ต้องทำลายเสาหลักทั้งสามให้ได้เสียก่อน เมื่อจับจุดได้ดังนี้ เขาก็เริ่มดำเนินการทันที...
อันดับแรกก็ปลุกปั่นยุยงให้ชนในชาติแตกความสามัคคี โดยยกเหตุข้าราชการเลว ๆ ที่กอบโกยโกงกิน ซ้ำยังข่มเหงรังแกชาวบ้าน หรือช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย ที่ต่างกันราวฟ้ากับดินขึ้นมาอ้าง แค่นั้นยังไม่พอ ยังยุยงชนกลุ่มน้อยที่ปรารถนาจะมีประเทศของตน และผู้ที่นับถือศาสนาที่แตกต่างกัน ให้ลุกฮือขึ้นก่อการกบฎ โดยให้ความหวังว่า ถ้าลัทธิของเขาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทุกคนจะอยู่ดีมีสุขโดยทั่วหน้ากัน...
น่าเสียดาย...ที่ความพยายามของพวกเขาต้องสูญเปล่า เพราะเรายังมีศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์เป็นที่ยึดมั่น อย่างดีก็รวนเรกันไปพักหนึ่ง พอองค์ในหลวงมีรับสั่งออกมาอย่างไร ชาวบ้านก็พร้อมใจกันปฏิบัติตามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงปล่อยข่าวทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีบางท่านประพฤติตนชนิดเตะลูกเข้าทางตีนของพวกเขาด้วย เลยระส่ำระสายไปพักใหญ่...
แต่ด้วยบุญญาบารมีของในหลวง ที่ทรงสร้างแต่ความดี เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี โดยมิเห็นแก่ความเหนื่อยยากพระวรกาย ติดต่อกันมาเป็นเวลายาวนานเหลือเกิน ทำให้การทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ของเขา ไม่อาจสำเร็จลงได้อย่างใจ มิหนำซ้ำยามชาวบ้านทุกข์ใจ ยังพากันหันหน้าเข้าวัด สงบจิตสงบใจทำบุญสุนทานกัน เป็นเหตุให้มีจุดยึดที่หนักแน่นมั่นคง เจ้าของลัทธิมหาประลัยจึงทุ่มเททั้งกำลังคนกำลังทรัพย์ เพื่อทำการล้มล้างสถาบันศาสนาให้ได้ หมดเท่าไรเท่ากัน...
เขาทุ่มเทเงินทองซื้อตัวนักบวชเลวเป็นจำนวนมาก ให้ช่วยกันบ่อนทำลายพระศาสนา เขามั่นใจถึงกับกล้ากำหนดว่า เมื่อนั้นเมื่อนี้เป็นเวลากี่ปี เขาจะสามารถตัดภาคอีสานทั้ง ๑๖ จังหวัด (ในขณะนั้น) ไปเป็นของเขา ซ้ำส่งคนของเขาเข้ามาบวช แล้วทำความเลวทุกรูปแบบให้ชาวบ้านเห็น และซื้อตัวนักหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนบางคน ช่วยกระพือข่าวซ้ำเติมให้ลุกลามใหญ่โต เป็นการขยายผลความระยำที่พวกเขาสร้างขึ้น ให้ชาวบ้านหลงเชื่อจะได้เกลียดชังศาสนา ด้วยระอาต่อนักบวชเลวระยำที่เห็นตำตาอยู่ (ที่แท้พวกเขาทั้งนั้น)...
ความพยายามของเขาน่าจะได้ผล ถ้าพวกเราไม่มีหลวงปู่-หลวงพ่อผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบคอยถ่วงดุลย์เอาไว้ ใครจะทำเลวอย่างไรก็ช่าง พระดี ๆ ยังมีอยู่อีกมากนัก ชาวบ้านเขามีปัญญารู้จักเลือกว่าอะไรดีอะไรเลว เขาก็หันไปยึดเกาะพระที่เขาเคารพบูชาอย่างเหนียวแน่น ยิ่งฝ่ายโน้นทำความเลวให้เห็นมากเท่าไร ก็ยิ่งหนุนเสริมให้ความดีของหลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายโดดเด่นขึ้นมากเท่านั้น (กลับตาลปัตรแบบนี้ก็ปวดกบาลไปซิ...)
เมื่อเหตุการณ์กลับกลายเป็นอย่างนี้ พวกเขาก็ลงมติให้จัดการขั้นเด็ดขาด ขึ้นบัญชีดำพระผู้เป็นหลักของพระศาสนาในช่วงนั้นทั้ง ๕๒ องค์ ส่งมือสังหารตามเก็บกันเลย น่าอนาถที่เขากระทำกันถึงเพียงนั้น แต่ด้วยบุญบารมีของหลวงปู่-หลวงพ่อทั้งหลาย อันตรายต่าง ๆ จึงผ่านพ้นไปแบบน่าใจหายใจคว่ำ ชนิดที่ผู้คิดร้ายต้องแพ้ภัยตัวเองฉะนั้น...
โดยเฉพาะองค์หลวงพ่อของเรานั้น บรรดาศัตรูทางลัทธิถือเป็นหมายเลขหนึ่งที่ต้องกำจัดให้ได้ แต่ด้วยความสามารถที่นอกเหตุเหนือผลของหลวงพ่อ เหล่ามือสังหารต่างพ่ายต่อบารมี นอกจากเลิกคิดทำอันตรายหลวงพ่อแล้ว ยังเข้าไปกราบสารภาพความผิด ซ้ำเปิดเผยจนหมดสิ้นว่า ใครที่ไหนเป็นผู้ส่งตัวเขามา ซึ่งคำสารภาพเหล่านี้ เป็นประโยชน์ต่อทางราชการเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้รู้ถึงบุคคลที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเลวระยำได้ถึงเพียงนั้น...
เมื่อเล่นกันซึ่งหน้าไม่สำเร็จ เขาก็หันไปใช้ไสยเวทย์อาคม บรรดาหมอไสยศาสตร์ทั้งหลาย ทั้งในคราบผู้ทรงศีลห่มเหลืองก็ดี ในคราบผู้ทรงศีลห่มขาวก็ดี ซึ่งที่แท้ก็คือสัตว์นรกที่แฝงกายหากินกับศาสนา ถูกจ้างให้ทำลายหลวงปู่-หลวงพ่อเป็นการเฉพาะ จะใช้วิชาทางไสยศาสตร์แบบใดก็ได้ ขอเพียงหลวงปู่-หลวงพ่อทั้งหลายมรณภาพลงได้ เอาไปเลยเงินสดรายละเป็นล้าน ๆ บาท...!
หลวงปู่-หลวงพ่ออีก ๕๑ องค์ จะโดนกันหนักหนาสาหัสขนาดไหนก็ไม่อาจจะทราบได้ แต่สำหรับหลวงพ่อของเราแล้ว ทั้งที่อาตมาเห็นด้วยตนเอง และที่ท่านบอกเล่าให้ฟัง เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว บอกได้แค่ว่า
ถ้าเป็นคนอื่นมีอีกล้านคนก็ตายทั้งล้านคน ไสยศาสตร์นั้นมันน่ากลัวเหลือที่จะกล่าว ความตายลึกลับที่เกิดขึ้นนั้น วิทยาการสมัยใหม่ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ว่าเกิดขึ้นด้วยเหตุใด ได้แต่ลงมรณบัตรไปอย่างคลุมเครือว่า “หัวใจล้มเหลว” แค่นั้น...!
บรรดาหมอไสยศาสตร์เริ่มบุกวัดตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ สารพัดอย่างที่พวกเขาจะทำ ไม่ว่าจะเป็นปล่อยของ ฝังอาถรรพ์ คุณผี คุณคน ฝังรูป ฝังรอย เผาหุ่น เอากันทุกท่า ซึ่งถ้าทำที่อื่นก็คงจะมีผล แต่ที่วัดท่าซุงนั้น เทวดาคือ
ท้าวจตุโลกบาลและบริวารทั้งหมด ขีดรัศมีไว้ว่า
ระยะ ๔ กิโลเมตรรอบวัด ของไสยศาสตร์ทุกอย่างที่ทำมา พอเข้าเขตจะเสื่อมทันที... เวลาวัดมีงานจะเพิ่มเป็นรัศมี
๑๖ กิโลเมตรรอบวัด แบบนี้เขาทำมาเท่าไรก็เสียเวลาเปล่า ซ้ำยังเหนื่อยฟรีอีกด้วย พวกเขาจึงแค้นใจมาก (แปลกดีเนอะ ทำเขาไม่ได้ยังมีหน้ามาโกรธเขาอีกแน่ะ...) บุกเข้ามาทำกันในวัดเลย ของส่วนใหญ่ทำแล้วไม่ได้ผล ที่พอจะมีผลบ้างก็ถูกอานุภาพของ
ยันต์เกราะเพชรสะท้อนกลับ บาดเจ็บล้มตายไปหลายราย...
พวกเขาโดนไปขนาดนี้ยังไม่มีเข็ด เนื่องเพราะนอกจากเงินจำนวนมหาศาลซึ่งล่อใจแล้ว คราวนี้ยังต้องแข่งขันกันเองอีกว่าใครจะเป็นผู้ล้มหลวงพ่อลงได้ ถ้าใครทำได้สำเร็จ ทั้งชื่อเสียงเงินทองก็จะไหลมาเทมา (ดูเอาเถอะ...เขาทำกันได้ขนาดนี้ พวกหิ่งห้อยไม่ได้เจียมสังขาร หมายประชันขันแข่งกับดวงอาทิตย์แท้ ๆ เชียว...)
อาตมาและญาติโยมเป็นพัน ๆ คน เห็นกับตาตัวเองว่า ขณะที่หลวงพ่อทำพิธีบวงสรวงอยู่ที่ลานโบสถ์ ปรากฏ
ตะปูตอกโลงผีเป็นจำนวนมาก ตกลงมาจากกลางอากาศ หลวงพ่อบอกว่า เป็นของที่เขาทำมาแต่เสื่อมอานุภาพหมดแล้ว ถ้ายังมีอานุภาพอยู่จะมองไม่เห็น นี่เทวดาเขาทำลายแล้ว และปล่อยไว้ให้พวกเราประจักษ์แก่ตาตนเอง...
ช่วงนั้นประมาณปี ๒๕๒๙ เวลาห้าทุ่มและตีสอง ของทุกวันเสาร์และวันอังคาร ถ้าหมาวัดหอนพร้อมกันเมื่อไรละก็ ไปรอดูฝนตะปูตกแถวโบสถ์ได้เลย มาตรงเวลาทุกครั้ง เก็บได้ครั้งละมาก ๆ จนในที่สุดพวกเขาคงหมดวัตถุดิบ ไม่มีปัญญาหาตะปูตอกโลงผีมาทำอีก ต้องเลิกไปโดยปริยาย (คงรื้อโลงรื้อเมรุกันหมดไปหลายป่าช้าแน่ ๆ...)
ของอาถรรพ์ที่ส่ง นอกจากตะปูตอกโลงผีแล้ว ยังมี
เงินปากผี กระดูกผีตายโหง หาอะไรไม่ได้จริง ๆ
กระโถนลงยันต์ก็ส่งมา (อาจจะเป็นกระโถนผีน่ะ ฮิ..ฮิ...) หลวงพ่อบอกว่ายังไม่เก่งจริง สมัยหลวงปู่ปานเขาส่ง
ครกตำข้าวมาทั้งใบ (เสกให้เล็กจนเป็นฝุ่นส่งมาด้วยฤทธิ์นะจ๊ะ ไม่ได้ฝากรถขนมา...) โดนต้นหางนกยูงโค่นไปเลย ถ้าถูกคนก็ตายแน่...
ใช่แต่ทางอากาศเท่านั้น ทางไปรษณีย์พวกเขาก็ส่งมาเป็นประจำ อาตมาสังหรณ์ใจทีไร เปิดดูเป็นใช่ทุกที นอกจากส่งให้หลวงพ่อแล้ว ยังส่งให้หลวงลูกอีกหลายองค์ อาตมารื้อดูแล้วก็โยนลงถังขยะไป เสียเวลาเสียค่าส่งเปล่า ๆ ไม่เห็นมีผลอะไรเลย “
ถ้าจะให้ดีส่งเหล็กเส้นมาซักหลาย ๆ ตันดีกว่า กำลังต้องการใช้ในการก่อสร้างอยู่มาก...” หลวงพ่อว่า ของบางชิ้นทำมาแรงมาก เขาเอามาถวายตอนงานวัด พระอื่นจะรับหลวงพ่อห้ามไว้แล้วรับเอง ท่านบอกว่า “
มันปวดจี๊ดขึ้นมาถึงข้อศอกแน่ะ...” แฮ่...ถ้าอาตมารับเองมีหวังชักดิ้นชักงออยู่ตรงนั้นแหละ...พวกใจถึงก็มานั่งล้อมทำหลวงพ่อซึ่ง ๆ หน้าเลย ท่านประกาศออกไมโครโฟนบอกให้รู้กันทั่ว พวกนั้นเลยเผ่นแน่บ ขืนช้าโดนสหบาทารุมกระทืบแน่ ๆ...!
เมื่อของไสยศาสตร์ทำไม่ได้ผล พวกเขาก็ส่ง
อสุรกาย สัมภเวสี เกาะติดคนเข้ามาในงาน เมื่อเกาะคนเข้ามาเทวดาเขาก็หมดสิทธิ์ไล่ เมื่อเริ่มพิธีพวกนี้จะดิ้นรนร้องโอดโอยโหยหวน ทำให้คนอื่นตกใจกลัว อาตมาตบคว่ำคามือมาหลายรายแล้ว ถ้าเป็นงานเป่ายันต์เกราะเพชรละสบายมาก พอเริ่มพิธีเจ้าพวกนี้อยู่ไม่ได้ เผ่นกันกระเจิดกระเจิง...! หลวงพ่อท่านบอกให้ภาวนา
คาถามหาอำนาจเอาไว้ พวกอสุรกายจะทำอันตรายไม่ได้ คาถาว่า “
ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ” ถ้าเป็นพวกผีที่ถูกผูกมา ให้ช่วยปล่อยไปเลย โดยใช้คาถา “
สัมปฏิจฉามิ” เป่าให้ เครื่องทรมานทั้งหลายจะหลุดหมด เป็นอิสระจากการควบคุมของหมอผี (หลวงพ่อปล่อยไปมากมาย จนหมอผีหมดเนื้อหมดตัวไปตาม ๆ กัน)
๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ นักบวชมหาภัยรูปหนึ่ง ที่ต้องการล้มล้างหลวงพ่อเพื่อยึดวัดให้ได้ เข้ามานั่งทำของไสยศาสตร์ในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรเลย (ไอ้พวกไม่รู้จักตาย...) ตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งถึงห้าโมงเย็น เขานั่งเงียบปลุกของอย่างคร่ำเคร่งอยู่คนเดียว ถูกอานุภาพของยันต์เกราะเพชรสะท้อนกลับ ถึงกระอักโลหิตหอบหิ้วกันกลับไป...!
พอเป่ายันต์รอบแรกจบลง ทั้งที่แดดเปรี้ยง ๆ ฟ้าใสแจ๋วนั่นแหละ ฝนได้เทครืนลงมาอย่างหนัก พอครบ ๕ นาที ก็ขาดเม็ดเป็นปลิดทิ้ง
หลวงพ่อบอกว่าของที่เขาทำเป็นของร้อน พระท่านเมตตาเอาความเย็นมาดับให้ เป็นการล้างอาถรรพ์ไสยศาสตร์ทั้งปวง บรรดาญาติโยมต่างฮือฮากันมาก วัตถุมงคลต่าง ๆ จำหน่ายเป็นเทน้ำเทท่า... เมื่อกริ่งบอกเวลาจบการเป่ายันต์รอบสองดังขึ้น ฝนก็เทตึงลงมาอีกเช่นเดิม ผู้คนนับหมื่นเฮพร้อมกัน ศาลา ๔ ไร่แทบถล่ม ต่างไชโยโห่ร้องด้วยความยินดี ที่เห็นพุทธานุภาพเป็นที่ประจักษ์แก่ตาตนเอง
พี่ก้อง (คุณก้องเกียรติ เพชรชื่นสกุล) มาถึงทีหลังการเป่ายันต์รอบสอง บอกว่าฝนตกแค่รอบบริเวณวัดเท่านั้น ทางมโนรมย์ที่ห่างแค่ ๓ กม. แห้งสนิทเลย จะให้มีฝนอย่างไรเล่าพี่เอ๋ย...ก็มันหน้าหนาวแดดแจ๋ออกอย่างนี้...!
๑ เมษายน ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ