พระอาจารย์กล่าวว่า "เราลองนึกดูว่าโลกใบเท่าเดิม ส่วนทรัพยากรน้อยลงไปเรื่อย ๆ พื้นที่เพาะปลูกกลายเป็นที่อยู่อาศัยไปก็มาก แต่ปากที่ใช้กินมีแต่เพิ่มขึ้น ๆ เพราะฉะนั้น..ใครมีที่ดินให้พยายามรักษาเอาไว้ ปลูกของที่กินได้ไว้ก่อน
สมัยที่อาตมาอบรมการเกษตรทฤษฎีใหม่ ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรองรับวิถีชีวิตคนไทยได้จริง ๆ เขาจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๑๐ ส่วน ก็คือ ๓ ส่วนให้เป็นแหล่งน้ำ ๑ ส่วนให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย อีก ๓ ส่วนทำนาข้าว อีก ๓ ส่วนเป็นวนเกษตร จะมีพวกสมุนไพรและผักที่ปลูกแล้วได้กินเร็ว มีพืชล้มลุกฤดูกาลเดียว อย่างเช่น กล้วย มะละกอ แล้วก็พืชยืนต้นจำพวกผลไม้หรือไม้ใช้สอย
ในส่วนของแหล่งน้ำก็ยังสามารถเลี้ยงปลาได้ ถ้าหากไม่ใช่แหล่งน้ำใช้ แต่เป็นแหล่งน้ำการเกษตรอย่างเดียว เขาจะมีเลี้ยงไก่บนบ่อปลาด้วย แล้วที่ขำก็คือ พออาตมาพาคนไปฝึกฝนดูงานเสร็จเรียบร้อย เขาก็ให้แต่ละกลุ่มไปสรุปบรรยายว่าตัวเองไปดูอะไรมา มีคนหนึ่งเขาบรรยายเสียเต็มปากเต็มคำว่า ไปดูการเลี้ยงปลาบนบ่อไก่..! เขาเลี้ยงไก่บนบ่อปลาแต่นี่ดันไปดูการเลี้ยงปลาบนบ่อไก่ น่าจะเก่งมาก...เลี้ยงปลาบนบ่อไก่ได้
เพราะฉะนั้น..ถ้ามีพื้นที่ให้พยายามทำเกษตรผสมผสานอย่างที่ในหลวงท่านบอก แล้วจะอยู่ได้ พวกพืชผักสามารถนำมากินหรือขายได้ในระยะเวลาไม่นาน พวกกล้วยพวกมะละกอนี่พอได้อายุ ก็สามารถที่จะทยอยตัดขายไปได้เรื่อย ๆ รอจนกระทั่ง ๓-๕ ปี ไม้ผลก็จะเริ่มให้ผล หลังจากนั้นก็จะให้ผลทุกปี
ในส่วนข้าว ถ้าปลูกข้าวเบาก็ ๔ เดือนเกี่ยวทีหนึ่ง ถ้าปลูกข้าวหนัก (นาปี) ก็ปีละครั้ง แต่เท่าที่ได้รับการตักเตือนมาก็คือ อย่าทำเกิน ๓๐ ไร่ เพราะต้องใช้แรงงานมากเกินไป
ถ้าทำอย่างนี้เกษตรกรก็จะมีรายได้ทุกวันจากพืชผักสมุนไพร มีรายได้ทุกเดือนจากกล้วย มะละกอ มะพร้าว มีรายได้ทุกปีจากข้าวและผลไม้ ทำให้พึ่งพาตัวเองได้"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2011 เมื่อ 17:57
|