๔. “
ดูจิต ดูอารมณ์ของจิตที่เกาะติดขันธ์ ๕ ด้วยอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา ว่าอารมณ์อันไหนเกิดแก่จิตบ้าง ถ้าไม่เห็นก็แก้ไขอันใดมิได้ จักต้องเห็นจิต เห็นอารมณ์ของจิตจึงจักแก้ไขได้ ในประการอื่น ๆ ไม่สำคัญเท่ากับดูจิต เป็นอารมณ์ของตนเอง
ให้เห็นคุณของศีล สมาธิ ปัญญา ให้เห็นโทษของการไปติดขันธ์ ๕ ให้เห็นโทษของกามคุณ ๕ นี้ จักต้องอาศัยความใจเย็น สอบสวนจิตให้ลึกลงไป ค่อย ๆ ทำไป แล้วจักเห็นเหตุเห็นผล เห็นหนทางแก้ไขอารมณ์ของจิตชัดเจนขึ้น”
๕. “
อย่าสนใจสิ่งอื่นใดให้มากกว่าจิตของตน เพราะการส่งจิตออกนอกกายนั้น เป็นการแสวงหาทุกข์ เป็นสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่การเห็นอารมณ์จิตของตนเอง รักษาอารมณ์จิตของตนเองให้ทรงอยู่ในความผ่องใส ว่างจากกิเลส เป็นความสุข แม้จักระงับได้ชั่วคราว ก็จัดว่าเป็นความดีสูงสุดในพระพุทธศาสนา เห็นจิต เห็นอารมณ์ของจิต จึงเป็นคุณสมบัติของนักปฏิบัติธรรมในเขตพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง แต่จักจำต้องเห็นจิต เห็นอารมณ์ของจิตตามความเป็นจริง อย่าให้เห็นไปด้วยการเจือไปด้วยอารมณ์กิเลส คือ โมหะ โทสะ ราคะ เข้ามาบดบังความเห็นของจิตก็ใช้ไม่ได้ จักต้องมองเห็นด้วยปัญญา คือในอริยสัจนั่นแหละ จึงจักเป็นการมองจิต รู้อารมณ์ของจิตอย่างแท้จริง”
๖. “อย่าเป็นกังวลเรื่องสงฆ์ในวัด หรือแม้นอกวัดให้มากเกินไป เพราะ
ความหวังดีกับพระพุทธศาสนาก็จงหวังดีกับจิตของตนเองด้วย ทุกอย่างทำตามหน้าที่ อย่าเก็บเอาความกังวลเข้ามา หรือเก็บเอากรรม หรือการกระทำของผู้อื่น จริยาของผู้อื่นเข้ามา เพราะจักทำให้เป็นทุกข์ พยายามทำทุกอย่างให้ดี ก็ต้องทำด้วยจิตเป็นสุข อย่าให้จิตตนตกเป็นทาสของกิเลสตามอุปาทานของตนเองก็แล้วกัน”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๙
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com